วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

Big Crises ตอนที่ 2

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีแค่สองสามประเทศที่มีวินัยทางการเงินที่ดีจะผ่านวิกฤตหนี้ (Debt Crises) เนื่องจากเป็นวัฏจักรวงจรจิตวิทยาของมนุษย์ ทำให้เกิดฟองสบู่ (Bubble) และฟองสบู่แตก (Bust)
รัฐบาลแต่ละประเทศอยากจะทำให้มีวินัยทางการเงินที่ดี แต่มันจะแลกกับการเติบโตของประเทศที่ไม่ดี เมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายทางการเงินจะทำให้เกิดการสร้างเครดิตที่ง่าย นั่นคือสาเหตุของวัฎจักรหนี้ (Debt Cycle)
แล้วทำไมถึงมีวัฏจักรวิกฤตเศรษฐกิจ
ลองมองในมุมหนี้ส่วนบุคคล สมมติคุณกู้เงินมาแต่คุณไม่สามารถหารายได้มาพอจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นเพียงพอ ในอนาคตคุณก็ต้องโดนบังคับขายทรัพย์สิน และล้มละลาย มองดูรูปแบบการก่อหนี้ของบุคคลจะมองเห็นภาพว่ามันคือวัฏจักรการเกิดวิกฤตเพราะคุณไม่มีทางหาเงินมาจ่ายเงินต้นได้
มองในมุมของเกมเศรษฐีจะเข้าใจง่ายมาก ก่อนเริ่มเกมส์ผู้เล่นจะได้รับเงินสดจำนวนมาก และทรัพย์สินจำนวนหนึ่ง โดยเงินสามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้ เมื่อเล่นเกมไปเรื่อยๆ ผู้เลนจะมีทรัพย์สินเป็นบ้านและโรงแรม ผู้เล่นคนอื่นที่เล่นมาตกที่ทรัพย์สินของคนอื่นต้องจ่ายเป็นค่าเช่าให้กับเจ้าของที่
พอเงินสดเริ่มขาดมือ ทรัพย์สินบางแห่งต้องโดนบังคับขายในราคาที่ถูกเพื่อเอาเงินสดมาใช้จ่าย
เกมส์เศรษฐีนี้ เมื่อต้นเกมส์ ผู้ชนะคือคนมีทรัพย์สิน แต่ตอนท้ายเกมส์ เงินสดคือพระเจ้า ดังนั้นคนเล่นเกมส์นี้เก่งคือคนรู้จังหวะในการผสมผสานระหว่างเงินสดและทรัพย์สินให้ได้ จังหวะไหนควรเก้บเงินสด จังหวะไหนควรหาเงินสดให้ทันพอค่าใช้จ่าย จังหวะไหนลดรออย่าก่อหนี้เพิ่มเพื่อลดความเสี่ยง
กลับมามองในรูปแบบวงจรเศรษฐกิจ เศรษฐกิจจะโตได้เกิดการการก่อหนี้ทางการเงิน นำมาลงทุนพัฒนาทรัพย์และสาธารณูปโภคในประเทศยกตัวอย่างเช่นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Country) ตอนแรกประเทศเกิดใหม่กำลังพัฒนาจะมีค่าแรงงานที่ถูกแต่สาธารณูปโภคที่ไม่ดี เมื่อประเทศเริ่มสร้างสาธารณูปโภค ทำให้เกิดการพัฒนาและทำให้การส่งออกดีขึ้น ทำให้รายได้เข้าประเทศมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าเมื่อมีการแข่งขันเรื่องค่าแรงและค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในประเทศจะทำให้การส่งออกโตช้าลงเมื่อเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาที่ค่าแรงต่ำกว่า มันจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่(Bubble) เมื่อมีการคาดหวังรายได้เกินความเป็นจริงทั้งที่รายได้ในอนาคตไม่เพียงพอต่อดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องใช้คืน เมื่อนั้นจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกเพราะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้
Ray Dalio ได้บอกว่า
  1. ถ้าหนี้อยู่ในรูปเงินของสกุลเงินต่างประเทศจะจัดการยากกว่าสกุลเงินในประเทศเมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินของโลก
  2. เมื่อเกิดวิกฤตหนี้และสามารถแก้ปัญหาวิกฤตได้ยังไงมันต้องกระทบกับประชาชนไม่ทางใดทางนึงแน่นอน
การแก้ปัญหาเมื่อเกิดวิกฤตหนี้เพื่อจะทำให้มันลดลงมีอยู่ 4 วิธี
1) เพิ่มความเข้มงวดและมีวินัยทางการเงิน Austerity (เช่นใช้จ่ายน้อยลง)
2) ไม่จ่ายหนี้และดอกเบี้ย หรือชักดาบเพื่อมาเจรจาต่อรอง Debt defaults/restructurings
3) ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมากเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ The central bank “printing money” and making purchases (or providing guarantees)
4) ย้ายเงินและเครดิตไปให้ประเทศที่ต้องการเงินเพื่อเป็นเจ้าหนี้ซะเอง Transfers of money and credit from those who have more than they need to those who have less
4 วิธีนี้จะมีผลกระทบกกับเศรษฐกิจต่างกัน บางอย่างทำให้เกิดเงินเฟ้อหรือการเติบโตหยุดชะงัก บางอย่างจะทำให้เกิดเงินฝืด
ทางรัฐบาลระมัดระวังในการแก้ปัญหาหนี้โดยต้องทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยที่สุด

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

ทำไมตอนนี้มีแต่คนมาเตือนเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกแบบที่เราจะไม่เคยเจอในชีวิตเรามาก่อน

ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเสมอ เพราะเป็นวัฏจักรของโลกใบนี้
อยู่ที่จะกินเวลาเท่าไร
สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานั่งไล่อ่านหนังสือหลายๆเล่มตอนเย็นๆ อยู่กับตัวเอง ทำสมาธิ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจที่ผ่านมาจากหนังสือคนเก่งๆ เช่น Ray Dalio ผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโรเบิร์ต คิโยซากิ คนเขียนพ่อรวยสอนลูก พูดตรงกัน
ซึ่งเค้าทำนายมาหลายปีแล้วว่าจะเจอวิกฤตแน่ๆ แต่ไม่รู้เมื่อไร
ถ้าเราไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ เราจะไม่รู้เลยว่าอเมริกาและเยอรมันก็ผ่านจุดตกต่ำที่สุด ยิ่งเยอรมันเกิดภาวะแบบเวเนซุเอล่าเมื่อช่วงก่อนและหลังสงครามโลก เริ่มตั้งแต่ปี 1930
เมื่อปี 1930 เรายังอยู่ชาติที่แล้วอยู่เลย ยังไม่มาเกิดในชาตินี้ เราจึงไม่รับรู้ความลำบากตอนนั้น
คนเยอรมันไม่มีจะกินคล้ายๆเวเนซุเอล่าอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงฟื้นฟูประมาณ 25 ปีถึงเริ่มจะดีขึ้น
เริ่มดีขึ้นก็มาช่วงรุ่นพ่อแม่เรา ที่เศรษฐกิจโต เนื่องจากมีอัตราการเกิดที่สูงขึ้น
เศรษฐกิจจะโตได้ก็มาจากประชากรมีมากขึ้นและมีการทำงานหาเลี้ยงชีพและบริโภคมากขึ้น
รุ่นผมจึงไม่เคยเห็นการไม่มีกิน อดมื้อกินมื้อกัน เกิดมาเศรษฐกิจก็ดี
รุ่นพ่อแม่ค้าขายอะไรก็ได้ มีเงินมีทองเก็บมาจนถึงรุ่นผม
แต่ Ray Dalio และโรเบิร์ต คิโยซากิ บอกว่า เศรษฐกิจโตที่ผ่านมาคือ โตโดยการกู้หนี้ยืมสืน (Credit/Debt) มากกว่าการทำงานเพื่อให้ได้ผลผลิตของประชากร
มันคือระเบิดเวลา ที่รอวันแตก เปรียบเสมือน เรากู้มาใช้จ่าย และกู้หนี้ใหม่ไปโปะ หนี้เก่า ซึ่งหนี้มีแต่เพิ่ม ไม่มีวันลดเลย เป็นฟองสบู่หนี้ที่น่ากลัว
มันผ่านมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนมาถึงรุ่นเรา ใช้เวลา 50-60 ปี
จะสังเกตช่วงนี้มีแต่คนมาเตือนเรื่องเศรษฐกิจว่าระวังให้ดี ว่าจะแย่กว่าที่รุ่นเราเคยเจอ (เพราะเราเกิดมาก็ไม่เคยเจอแบบแย่ๆมาก่อน)
สาเหตุหลักคือ คนเกิดน้อยลง เกือบทั่วโลก หนี้เราเพิ่มทุกวันแต่คนเราเกิดน้อย คนทำงานหาเงินใช้หนี้ก็น้อยลง แต่หนี้มีแต่เพิ่มมากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ
เราไม่มีทางใช้หนี้ได้ เพราะการหาเงินน้อยลงมากกว่าหนี้ที่วิ่งพุ่งขึ้นไป
ซักวันฟองสบู่มันก็ต้องแตก อยู่ที่ว่ารัฐบาลแต่ละประเทศจะยื้อเวลาได้เท่าไร
พอฟองสบู่หนี้แตกเราก็อดอยากกัน ล้มละลายกัน
พอแย่กันสุดๆ มันก็จะเริ่มดีขึ้น เป็นวงจรวัฏจักร อาจจะกินเวลา 10-50 ปี ไม่มีใครรู้
รู้อย่างเดียวว่า ขออย่าให้มันเกิดที่รุ่นเราเลย (แต่ถ้าไม่เกิดรุ่นเราก็อาจจะไปเกิดที่รุ่นลูกหลานของเราแทน)
ความรุนแรงของการเกิดจะมากที่สุดที่เราเคยเจอ อาจจะประมาณเวเนซุเอล่าก็ได้ เพราะเราไม่เคยเจอเราถึงคาดไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร
ที่สำคัญคือที่เค้าเตือนคือ ถ้ามันเกิดวิกฤตแบบนั่นจริงๆ เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
สรุปมาประมาณนี้นะ

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

Big Crisis Debt หนังสือที่น่าสนใจมากของ Ray Dalio ตอนที่ 1



Big Crisis Debt หนังสือที่น่าสนใจมากของ Ray Dalio
มานั่งคิดว่าถ้าอ่านไปด้วยแปลและเรียบเรียงไปด้วยน่าจะได้ความเข้าใจมากกว่า ผิดถูกขออภัยล่วงหน้านะครับ
บทที่ 1 Archetypal Big Debt Cycle
---------------------------------------------
มาเริ่มคำว่านิยามของคำว่า Credit และ Debt กันก่อน
ซึ่ง Ray นิยาม Credit ว่า การใช้พลังในการซื้อ (ฺBuying power) โดยไม่ต้องใช้เงินสด โดยอนุญาติให้ซื้อขายกันโดยมีสัญญาว่าจะจ่ายเงินสดคืนในอนาคต
ซึ่ง Buying Power นี่ก็คือ หนี้ หรือ Debt นั่นเอง
Credit มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง
ถ้าเราให้ credit น้อยไปในการพัฒนาประเทศ มันจะทำให้เกิดการพัฒนาที่น้อยเช่นกัน ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ในทางกลับกันเมื่อมี Credit ขึ้นมาก็จะมีหนี้ Debt ตามมาถ้าคนที่ใช้เครดิตไม่มีเงินจ่ายคืน
Credit หรือ Debt นี้ถ้ามันเติบโตขึ้น มันจะมีส่วนดีและไม่มีในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับว่า Credit มีเท่าไรและหนี้สามารถจ่ายคืนได้ไหม
ทาง Ray บอกว่าเมื่อก่อนเค้าก็ไม่ชอบการยืมเงินโดยใช้เครดิต เวลาเค้าไม่มีเงินเค้าก็จะใช้วิธีการออมมากกว่าการยืมหรือขอกู้ ซึ่งมันเป้นนิสัยส่วนตัว ว่าถ้ากู้มามันจะเสียผลประโยชน์มากกว่าได้
แต่ Ray ได้เรียนรู้มาว่าการใช้ Credit มันไม่ได้เลวร้ายเสมอไป โดยเฉพาะใช้กับสังคมหรือประเทศ นโยบายของสังคมไม่เหมือนกับนโยบายของส่วนบุคคล
Ray ได้ เรียนรู้มาว่า การเติบโตของ Credit หรือ Debt ที่น้อยเกินไปมันจะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้ขาดโอกาสการพัฒนาหลายๆด้าน
Credit ทำให้เกิดพลังในการใช้จ่ายและหนี้
Credit ที่ต้องการมากขึ้น อยู่ที่ว่าจะสามารถนำไปสร้าง ผลผลิต(Productivity) ที่เพียงพอและสามารถสร้างรายได้มาจ่ายหนี้ได้ ทำให้เกิดการไม่แบ่งปันทรัพยากรที่ใช้ในการสร้าง productivity ได้
ถ้าหนี้สามารถจ่ายได้จะทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้กู้และผู้ให้กู้
แต่ถ้าหนี้ไม่สามารถจ่ายได้ จะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่พอใจ มันจะทำให้เกิดการไม่แบ่งปันทรัพยากรที่ใช้ในการสร้าง productivity ได้
ในทางสังคม เราจะพิจารณาผ่านทางผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจมากกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจหลัก
ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งที่เงินไม่พอหรือ Credit ไม่พอจะไม่สามารถให้ทางศึกษาแก่เด็กได้ทั่วถึง (การศึกษาจะทำให้ผลผลิตดีขึ้น ลดอาชญากรรมในอนาคตได้) หรือมีการเปลี่ยนระบบสาธารณูปโภคให้ดีขึ้น
Credit หรือหนี้จะเป็นสิ่งที่ดีได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้างเศรษฐกิจที่สามารถจ่ายเงินคืนด้วยตัวมันเองได้ แต่ในความจริงการแลกเปลี่ยนมันมองยาก
ถ้ามาตรฐานของผู้กู้สูงเกิน มันจะทำให้เกิดการจ่ายเงินคืนได้ และจะทำให้เกิดหนี้น้อยลง แต่มันจะทำให้การพัฒนาน้อยลงด้วย
ในทางกลับกับถ้ามาตรฐานผู้กู้หละหลวมมันจะทำให้เกิดหนี้มากขึ้นทำให้จ่ายคืนยากขึ้น จะทำให้เสียมากกว่าได้
ต่อตอน 2 แล้วแต่ว่างนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

ทองแท่งไทยจะเหลือ 14000 บาท เมือ่เกิดเหตุการณ์ใด

เห็นบางคนบอกทองจะไป 14000 บาท ต่อ ทองแท่ง 1 บาท
ผมก็เคยคาดเดาแบบนี้ พอมาลองเทรดจริง คำนวณจริงๆ
มันต่างจากวิชาการที่เอาแต่คาดการณ์ ที่ไม่เคยลองเทรดทองดูซักที
ถ้าลองเทรดทองแท่งจริงๆเราจะมีเห็นเหตุการณ์ได้หลายรูปแบบมาก
ถ้าใครดูอนาคตทองขึ้นหรือทองลงออก คนนั้นรวยเป็นพันๆล้านไปแล้ว
ไม่ต้องมานั่งทำงานงกๆๆ เลยจริงๆ ให้ตายซิ
ทองคำจะลงไป 14000 ได้ มีกรณีใดบ้าง
ผมเลยจำลองสถานการณ์มาให้ดู
ทองแท่งในไทยคำนวนยังไง เคยสงสัยกันไหม
ผมก็เคยสงสัยแต่ไม่ได้เจาะลึกมาก่อน มาเจาะลงตอนเริ่มเทรดจริงจังนี่แหละ
ทองแท่งไทยจะขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก เรียกว่า Spot Gold
คิดเป็นหน่วย ออนซ์ ต่อ ดอลล่าร์
1 ออนซ์ของทองคำ คือ 31.104 กรัม
แต่ทองคำแท่ง 1 บาท จะเท่ากับ 15.24 กรัม
ทางทองไทยเค้าจะกำหนดค่าคงที่ในการแปลงบาทเป็นออนซ์อยู่ที่ 0.4723 (ซึ่งถ้าคำนวนจริงๆมันจะไม่ใช่ค่านี้ มันจะเป็น 15.24/31.104 = 0.49 )
วันนี้ ทองคำตลาดโลก เท่ากับ 1204.5 USD ต่อ 1 ออนซ์
และค่าเงินบาท จะเท่ากับ 32.56 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์
แปงเป็นทองแท่ง 1 บาท = 1204.5 * 32.56 * 0.4723 = 18522 บาท
แต่สมาคมทองคำไทยจะประกาศอีกที ราคาไม่บวกลบเกิน 100 บาท
ใช้สูตรนี้คำนวนต่อ จำลองเหตุการณ์
1. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทแข็ง 30 บาทต่อ USD ทองคำไทยจะเหลือ 14169
2. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทอ่อน 35 บาทต่อ USD ทองคำไทย จะเหลือ 16350
3. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทอ่อน 40 บาทต่อ USD 18892
แล้วลองคำนวนต่อเอง จะเห็นว่า
ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทอ่อน ทองก็สามารถขึ้นได้ถ้าแปลงเป็นเงินบาท
ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทแข็ง ทองก็สามารถลงได้ถ้าแปลงเป็นเงินบาท
เหมือนตอนนี้ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทก็อ่อนลงด้วย มันคานกันไปเรื่อยๆ
มันแปรผกผันกันอยู่นิดๆ
จะให้เดา ทองจะลงไป 14000 ได้มีโอกาสน้อยมาก เพราะเงินบาทต้องแข็งมากๆ
แต่ไม่ใช่ไม่มีโอกาส อะรก็เป็นไปได้หมดในโลกใบนี้
เอาแต่วิชาการอ่านข่าว คาดเดา predict ไปเรื่อยๆ มันไม่เท่ากับการลองเทรดเอง เจ็บเองกำไรเองจริงๆ
ลองปฎิบัติดูแล้วจะรู้

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

อยากเป็น Fulltime Trader ไหม

นั่งอ่าน คนรุ่นใหม่ไฟแรงในกลุ่มเทรดเดอร์ อยากจะออกมา fulltime trader
เหมือนมองเห็นตัวเองตอนจบ ป.ตรี โท ใหม่ๆ
อีโก้มาเต็ม
เมื่อก่อนผมคิดว่า เฮ้ย.............เราจบระดับนี้แล้ว
ป.ตรี โท วิศวะ มหาลัยดัง
ตอนเรียนโท ยังทำงานไปด้วยส่งตัวเองเรียนไปด้วย ไม่ได้ขอที่บ้านหลังจากจบ ป.ตรี
คิดว่าทำธุรกิจมันไม่ยากหรอก กระจอกจะตาย
คนที่จบไม่สูงเท่าเรา ยังประสบความสำเร็จเลย
มาวันนี้อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองตอนนั้น ว่า มึงมันโง่มากเลย.... โง่แล้วอวดฉลาด
โง่แบบไม่น่าให้อภัยตัวเอง
ทำธุรกิจมันยาก......ยากสาดสาด พูดแบบหยาบๆเลย
ยากกว่าที่เรียนทฤษฎีวิชาการ มาหลายล้านเท่านัก
ลองมองคนประสบความสำเร็จ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา (ที่พ่อแม่ไม่ฐานะหรือเงินให้มาสร้างตัว)
เค้าร่ำรวยขึ้นมาได้ มีที่ดิน มีเงิน มีทอง มีตึก
ตรงนั้นมันคือร่องรอยของหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา ความกดดัน ความเครียดขนาดไหน เราไม่มีทางได้รับรู้ได้หรอก เพราะเราไม่อยู่จุดนั้น
เรามาเห็นตอนเค้ามีทุกอย่างและสบายแล้ว
เค้าใช้เวลาเป็นหลายสิบปีกว่าจะมีวันนี้
ไม่ใช่วันสองวันหรือปีสองปี
ขนาดผมโชคดียังพอมีฐานให้ แต่ไม่ได้มากมายจนจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจ
ยังต้องสู้ อดทน ทำธุรกิจ
คนภายนอกมองเหมือนผมสบาย
แต่ต้องคิดหาทางเอาตัวรอดในโลกต่อไปนี้ทุกวัน
ชีวิตเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่น........
จริงๆนะน้อง

ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกอย่างอย่างที่ใจต้องการไม่ว่าอาชีพไหน
 แต่เราถามตัวเองหรือยัง เราอึดและอดทนมากพอไหม

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...