วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

บันทึกกราฟ Forex EURUSD กำลังจะทำลาย Bridge


บันทึกไว้ EURUSD TF week ถ้าจบวันนี้วันศุกร์ แล้ว แท่งแดงยาวแบบนี้แสดงว่า Break bridge จะลงไปปรัับฐานที่ Bridge ล่างๆ
เป้าแรก 1.20000
เป้าสอง 1.17600
เป้าสาม 1.16000
เป้าสี่ 1.118000
เดานะ
มั่วอีกต่างหาก
รอดูเฉลยปลายปี







อยากลองเทรด Forex กดตาม link เปิดบัญชีได้ครับ


https://trk.pepperstonepartners.com/aff_c?offer_id=139&aff_id=14848






วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

เงินบาทอ่อนหรือแข็ง.......มีผลต่อต่างชาติเข้ามาซื้อขายหุ้นไทยหรือไม่


คราวที่แล้วผมได้เขียนบทความ ถ้า SET ไทยจะขึ้นต่างชาติต้องช่วยซื้อ ตาม link https://is.gd/508shW
หรือ link https://merchantengineerigntrader.blogspot.com/2018/04/set-2500.html

ช่วงนี้เงินบาทผันผวนมากๆ เมื่อเทียบก่อนเงินดอลล่าร์ เดี๋ยวก็แข็งเดี๋ยวก็อ่อน 
สงสัยคำว่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนกันไหมครับ อ่านๆไป งง เงินบาทสูงหรือต่ำ ต่อ 1 ดอลล่าร์ 
อันไหนเรียกแข็งอันไหนเรียกอ่อน

สมมติ เงินบาทวันนี้ 31 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ USD 
ถ้าสมมติพรุ่งนี้ ขึ้นไป  32 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ USD เค้าจะเรียกกันว่า เงินบาทอ่อน เพราะ 1 USD แลกเงินบาทได้มากขึ้น (อ่อนปวกเปียก)
แต่ถ้าลงไป 30 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ จะเรียกกันว่า เงินบาทแข็ง เพราะ 1 USD แลกเงินบาทได้น้อยลง (แข็งโป๊ก)


แล้วเงินบาทแข็งอ่อนมีผลต่อการซื้อหรือขายหุ้นไทยของต่างชาติยังไง 
ผมเลย plot กราฟความสัมพันธ์ ระหว่างเงินบาทต่อดอลล่าร์กับ ดัชนี SET ไทย ตั้งแต่ปี 2545-2560 
ตามรูปด้านล่างนะครับ


ที่มา www.set.or.th


จะสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปี 2560 เงินบาทแข็งโป๊กจาก 43 บาทต่อ 1 USD ในปี 2545 เหลือ 33.93 บาทต่อ 1 USD ในปี 2560
คิดเป็นเงินบาทแข็งค่า 15 ปีที่ผ่านมา = (43-33.93)/43 *100 = 21% โดยประมาณ

เมื่อเทียบกับดัชนี SET แล้ว เหมือนมีความสัมพันธ์กับเงินบาทแข็งค่าใน 15 ปีที่ผ่านมา
เงินบาทมีการแปรผกผันกับดัชนี SET เมื่อเงินบาทแข็งค่าดัชนี SET เหมือนจะขึ้นจาก ปี 2545 ที่ดัชนี SET 356 จุด ขึ้นมาถึง 1752 ในปี 2560

ทำไมเงินบาทอ่อนหรือแข็งมีผลต่อดัชนี SET และหุ้น เราลองมาคำนวณในมุมชาวต่างชาติที่จะมาซื้อหุ้นไทยกันดีกว่า 


***สมมติเราเป็นกองทุนต่างชาติ ขนเงิน 10 ล้าน USD มาซื้อหุ้น PTT ปลายปี 2560 ที่ ราคา 440 บาท โดยตอนนั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33.93 บาทต่อ USD

1. เงิน 10 ล้าน USD แลกมาเป็นเงินบาทได้ 10,000,000*33.93 = 393,0000,000 บาท
2.  ซื้อหุ้น PTT ที่ราคา 440 บาท ได้ 393,000,000 / 440 = 771,136 หุ้น

เดือนเมษายน 2561 PTT ขึ้นมาที่ ราคา 550 บาท แล้วเราอยากขายที่ราคานี้

เราจะได้กำไร ทั้งหมด = (550-440) * 771,136 = 84.25 ล้านบาท

นี่คือกำไรก้อนแรก ที่เราได้ และเราจะแลกเงินกลับเป็น USD เอาเข้าประเทศ

ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเท่าเดิม เราจะได้ 84.25 ล้านบาท หารด้วย 33.93 = 2.5 ล้าน USD

แต่ถ้าเงินบาทแข็ง เป็น 31.5 บาท ต่อ 1 USD เราจะได้เงินกลับ = 84.25 ล้านบาท หารด้วย 31.5 = 2.692 ล้าน USD

กำไรต่อที่สองคืออัตราแลกเปลี่ยน จาก 33.93 เป็น 31.5 บาทต่อ 1  USD
กำไรเพิ่มอีก 2.692 -2.5 = 0.192 ล้าน USD หรือ 192,000 USD โดยประมาณ
ยังไม่รวมกำไรจากเงินต้น 393 ล้านบาทด้วยนะครับ
เงินต้น 393 ล้านบาทแลกเป็น USD ที่ 31.5 บาท จะได้ 12.47 ล้านUSD
ได้เงินกลับไปทั้งหมด 12.47+2.692 = 15.162 ล้าน USD จากเงินต้น 10 ล้านUSD กำไรทั้งหมดคือ 5.16 ล้าน USD หรือ 51.6%!!!!!!!!


ในทางกลับกันเงินบาทอ่อน สมมติอ่อนค่าเท่ากับ 35 บาท ต่อ USD

กำไรเมื่อแลกเปลี่ยนเป็น USD จะเหลือ 2.42 ล้าน USD กำไรลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.39  = 0.08 ล้าน USD หรือ 80000 USD 


จะเห็นได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงิน บาท บาทอ่อนหรือแข็งมีผลต่อกำไรในรูปแบบค่าเงิน USD
ถ้าเราเป็นต่างชาติ เราจะซื้อหุ้นไทย SET ตอนนี้ที่เงินบาทอ่อนๆ และมาขายตอนบาทแข็งๆ กำไรรูปแบบ USD เราจะมากขึ้นตามไปด้วย


แต่ทั้งนั้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าเงินบาทอ่อน หุ้นหรือ SET ไทยจะขึ้น หรือ ลงนะครับ
ปัจจัยหุ้นขึ้นหรือลงมีหลายปัจจัย เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับ USD เป็นส่วนนึงเท่านั้นครับ
บทความนี้่ชี้ให้เห็นถึงอัตราาแลกเปลี่ยนมีผลต่อกำไรมาากขึ้นหรือน้อยลงในรูปแบบสกุลเงิน USD เท่านั้นครับ




เลือกลงทุนหุ้นใหญ่อย่าง CPALL หรือ ซื้อแฟรนไชส์ 7-11 ดี

เชื่อว่าเกือบทุกคนชอบเดินเข้าร้าน 7-11 และส่วนใหญ่จะเดินเข้าเกือบทุกวัน
แอร์เย็นสบาย มีของกินเยอะแยะ ตามสโลแกน "หิวเมื่อไรก็แวะมา 7-11"
ผมชอบเข้าไปซื้อกาแฟอเมริกาโน่ตอนเช้าๆทาน เพราะร้านข้างนอกยังไม่เปิดตอน 7 โมงเช้า แต่ 7-11 เปิด 24 ชั่วโมง
ในฐานะอดีตเคยเป็นลูกพ่อค้าโชว์ห่วยจะมีอคติกับ 7-11 นิดหน่อย เพราะร้านโชว์ห่วยเริ่มสลายไป
แต่กระนั้น โลกทุนนิยมเรามันหมุนตลอดทุกวัน ใครปรับตัวช้าก็โดนทอดทิ้ง เลยทำใจรับได้ ไม่โทษใคร
และก็มีความคิดแว่บๆ ถ้าเราอยากเปิดสาขา 7-11 บ้างละ เพราะเราต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วมซะเลย ตามหลักกลยุทธ์การศึกของจีน 555
เลยมาศึกษาหาข้อมูล ถ้าเรามีเงินลงทุน อยากเป็นเจ้าของกิจการ การันตีขายได้ทั้งวันทั้งคืน นอนๆ อยู่ก็ได้เงิน มีระบบดูแล
โอ้ว.............สบายจะตาย แถมโก้หรูด้วย ใครถามก็บอกเจ้าของ 7-11 สาขานี้สาขานู้น.........
เอาละ กำเงินก้อนแรกไปดูตามเวบไซด์ 7-11 เงื่อนไขแรก เปิดมาสะดุ้งเลย ลองเปิดดูนะครับ website เค้าไม่ได้ปกปิดอะไร

ข้อแรก จำเป็นต้องอยู่ร้านด้วยตัวเอง.................เคยวาดฝันไหมครับ ว่า มีระบบอะไรพร้อมแล้ว ไม่ต้องอยู่ร้านหรอก นอนๆเล่นๆไปนั่งสนทนาจิบกาแฟเดินห้างก็ได้เงิน
แต่ไหงจะซื้อแฟรนไชส์ 7-11 เค้ากึ่งบังคับให้อยู่ร้าน ไม่งั้นก็ไม่ให้แฟรนไชส์.....
ถึงจะจ้างคนอื่นมาดูแล แต่เราต้องดูแลอีกที งงไหมครับ สรุปคือ คุณต้องดูแลร้านเหมือนคุณเปิดร้านเองทุกอย่าง 
ถ้าคุณไม่มีเวลาดูแล ไม่แนะนำให้ซื้อแฟรนไชส์นะครับ เพราะข้อบังคับเค้าเข้มมากเรื่องนี้ เน้นว่าจำเป็นและคุณสมบัติที่จะซื้อแฟรนไชส์ ต้องดูแลร้านได้
ส่วนดูแลแค่ไหน ก็ต้องมาปรับเปลี่ยนกันอีกที จะต้องนอนในร้านเลยไหม อันนี้ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่นอนได้ก็ดีมั้งครับ 5555
เอาละ ถ้าเรามีเวลาพร้อมดูแลร้าน เราก็มาดูเงินลงทุนกัน.........


การลงทุนมีสองขนาด เราไม่จำเป็นต้องมีตึกของเราเอง เราไม่มีก็ได้ไปเช่าเค้าเอาแล้วไปหักในส่วนค่าใช้จ่าย
เงินสำหรับแบบแรก รวม 1.48 ล้านบาท (เงินกินเปล่าา 7-11 เท่ากับ 4.8 แสนอีก 1 ล้านจะคืนให้เมื่อครบสัญญา 6 ปี)
รูปแบบที่ 2 ใช้เงิน 2.63 ล้านบาท (เงินกินเปล่าา 7-11 เท่ากับ 1.73 แสนอีก 9 แสนจะคืนให้เมื่อครบสัญญา 10 ปี)
ถามว่าสองรูปแบบแตกต่างกันยังไง ทำไมใช้เงินลงทุนต่างกัน คือยอดขายแต่ละแบบมากน้อยต่างกัน
โอกาสในการขายได้มากรูปแบบ 2 จะมากกว่ารูปแบบ 1 แน่นอน
ถ้าเอาให้ชัวร์ลองโทรสอบถามเจ้าของแฟรนไชส์นะครับ
แต่มีอันนึงที่ควรทราบว่าเวลาขายสินค้าได้ทั้งหมด เงินไม่ได้เข้าเรา จะเข้าส่วนกลางของ 7-11 ทั้งหมด
แล้วแบ่งออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ให้แก่ผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์
ถ้าซื้อแฟรนไชส์รูปแบบ 2 ยอดขายเมื่อหักต้นทุนสินค้าแล้วจะได้กำไรขั้นต้น จะแบ่งเป็น 54%ให้บริษัท และ 46% ให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
สมมติยอดขายวันละแสน ต้นทุนสินค้าเก้าหมื่น จะเหลือกำไร 1 หมื่น โดย 7-11 จะได้ 5400 และ ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเหลือ 4600 บาท
แต่+++++++อันนี้เน้นเลยนะครับ ต้องคุยดีดีนะครับ ว่าค่าใช้จ่ายต่างๆใครจ่าย เช่นค่าน้ำค่าไฟ ค่าลูกน้อง เป็นต้น
สมมติถ้าเราต้องออก หักแล้วเราเหลือเท่าไร อันนี้ควรคำนวนให้ละเอียดนะครับ.....
ผมไม่กล้าฟันธง แต่ค่าใช้จ่ายแฝงน่าจะเยอะพอสมควร ถ้าให้เราออก กำไรเราก็ลดลงอีกนะครับ

พอมาดูการซื้อแฟรนไชส์แล้ว เหมือนเราเปิดร้านและดูแลร้านทั้งหมดเองเลยครับ
คล้ายๆไม่ได้ซื้อแฟรนไชส์มาเลยครับ เหนื่อยทั้งคุมลูกน้อง ทั้งคุมค่าใช้จ่าย บริหารความเสี่ยงเองอีกต่างหาก ของหายก็โดนหัก
แต่ถ้าชอบอยากเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องลองครับ ข้อดีคือได้เรียนรู้ระบบบริษัท เทคโนโลยี การบัญชี เป็นต้นครับ
ซื้อแฟรนไชส์ 7-11 ได้กำไรชัวร์ๆแต่มากน้อยเท่าไรก็ไม่แน่ใจนะครับ แล้วแต่เราบริหารดูแล และทำเลที่ตั้งของเรา
แต่ถ้าเราไม่มีเวลาขนาดนั้นละครับ เรามีงานประจำอยู่แล้วหรือเราไม่ชอบงานบริการจุกจิก ปวดหัวง่าย เครียดง่าย
ก็ลองเลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ๆอย่าง CPALL แทนที่จะซื้อแฟรนไชส์ มาเป็นเจ้าของแฟรนไชส์เองซะเลย
เราก็ลองเปรียบเทียบในการลงทุนหุ้นเป็นระยะเวลา 6 หรือ 10 ปีที่ลงทุนแบบแฟรนไชส์ น่าสนใจนะครับ
ส่วนเวลาที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่ตอนไหน ก็แล้วแต่เราวิเคราะห์งบการเงิน ดูกราฟ ว่าต่ำกว่ามูลค่าในอนาคตหรือไม่
มันคือความเสี่ยงที่ต้องประเมินเองนะครับ ไม่มีใครบอกเราได้ เหมือนซื้อแฟรนไชส์ก็มีความเสี่ยงขายไม่ดี ไม่ได้ตามเป้า เราบริหารไม่ดีไม่มีเวลา ของหายบ่อย
ถ้าเราซื้อตอนมูลค่าหุ้นแพง เราก็จะติดดอย กินแต่ปันผล แต่ยังไงเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ 7-11 เช่นเดียวกัน 555
แต่ถ้าวิเคราะห์มูลค่าหุ้นแล้วยังมีโอกาสต่อไปได้ไกล เราก็ได้ทั้งส่วนต่างของราคาและเงินปันผล
แถมไม่ต้องเหนื่อยไปคุมร้านให้ปวดหัวด้วยนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่เราจะเลือกเองนะครับ ไม่มีผิดหรือถูก
แต่ที่ดีที่สุดคือเรามีที่ดินตึกพร้อมให้ 7-11 เช่า สบายที่สุดเลยครับ





บทความนี้ไม่ได้เชื้อเชิญในการซื้อขายหุ้นนะครับ แต่แบ่งปันประสบการณ์มุมมองการทำธุรกิจเทียบกับหุ้น การซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบกันอีกทีนะครับ



และสามารถติดตาม บันทึกการเทรดหุ้นและ Forex จาก เพจของผมได้ที่ https://www.facebook.com/merchantetrader/
และสาามารถอ่านบันทึกกาารเทรดย้อนหลังใน blog ผมได้ครับ :https://merchantengineerigntrader.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

หุ้นใหญ่ vs หุ้นเล็ก เลือกลงทุนยังไงดี?.....เอาจริงๆมันแล้วสไตล์ของแต่ละคน

ถ้าใครลงทุนให้หุ้น ส่วนใหญ่จะเจอเพื่อนๆญาติพี่น้องที่สนใจหุ้น มักจะถามลงทุนตัวไหนดี

หุ้นตัวเล็ก หรือ หุ้นตัวใหญ่ดี หุ้นตัวใหญ่อันไหนน่าสนใจ แล้วตัวเล็กละ?ซื้อที่ราคากี่บาท

คำถามแรกก็ตอบ ยากละ หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ นิยามคืออะไร
ผมเลยไปค้นคว้า เอาหุ้นตัวเล็กหรือใหญ่เอาอะไรมาแบ่ง
มันมีหลายนิยามมาก แต่ผมนิยามตาม มูลค่าตลาด หรือ Market Capitalization หรือเรียกสั้นๆว่า Market Cap แล้วกัน

มูลค่าตลาด (Market Cap) = ราคาหุ้น x จำนวนหุ้นจดทะเบียน

โดย 

  • Big/Large cap (หุ้นใหญ่) - เป็นประเภทของหุ้นที่มีมูลค่าตลาด ระหว่าง 1 หมื่นล้านถึง 2 แสนล้านขึ้นไป บริษัทชั้นนำส่วนใหญ่จะตกอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น PTT SCC โดยทั่วไปหุ้นในกลุ่ม Large cap จะมีความมั่นคงสูง เช่นเดียวกัน Mega cap ทั้งสองกลุ่มจะถูกเรียกอีกชื่อว่า Blue chip สามารถดูใน SET50 หรือ SET100 ได้
  • Small cap (หุ้นเล็ก) - โดยทั่วไปจะเป็นบริษัทใหม่ และความมูลค่าตลาด ระหว่าง 300 ล้านถึง 2 พันล้าน แม้โดยทั่วไปบริษัทในกลุ่มนี้จะมีข้อมูลย้อนหลังที่สั้น หุ้นในกลุ่ม Small cap อาจจะให้ผลตอบแทนที่สูงมากจากการเติบโตที่ก้าวกระโดด แต่ความเสี่ยงก็จะสูงมากเช่นกัน SUPER เป็นตัวอย่างที่ดี ในปี 2010 มูลค่าตลาดของ SUPER อยู่ที่ 250 ล้าน ในปี 2016 มูลค่าตลาดเกือบ 4 หมื่นล้าน (ตัวอย่างตามภาพด้านล่าง)
ที่มาของข้อมูล http://www.setmonitor.com/@ittikorns/4E041E


พอเราได้นิยาม เราก็ลองมาดูข้อดีข้อเสีย ของหุ้นใหญ่และหุ้นเล็กกันบ้าง
ถ้าเราลงทุนหุ้นใหญ่ เช่น PTT SCC CPF เป็นต้น
ข้อดีคือ
1. บริษัทมั่นคง จะล้มละลายยากมาก 
2. ราคาต่อวันไม่ผันผวนมากเท่ากับหุ้นตัวเล็กๆ เพราะส่วนใหญ่ราคาจะสูง การทำให้ราคาผันผวนมากๆต้องใช้เงินมากกว่าตัวเล็กๆ 
3. ส่วนใหญ่หุ้นใหญ่ๆจะมีกำไรทุกปีและจ่ายเงินปันผล 

ข้อเสียของหุ้นตัวใหญ่ คือ 
1. หุ้นใหญ่บางตัวราคาหลักร้อยบาท ต้องใช้เงินสูงกว่าหุ้นเล็กๆ
2. ถ้าเราจะลงทุนโดยรอราคามันลงอาจจะใช้เวลานานหรือไม่ลงเลย เพราะ หุ้นใหญ่ราคาหุ้นสะท้อนถึงราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว โดยผู้จัดการกองทุนชื่อดังกล่าวไว้ว่า 

"ตลาดหุ้น จะให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับหุ้นขนาดใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะแก่การลงทุนมากกว่าหวังส่วนต่างราคา และคุณก็ไม่ควรหวังหุ้นเด้งจากหุ้นเหล่านี้"  Mark Niznik กล่าว
ที่มา https://stock2morrow.com/discuss/room/1/topic/7153

มาดูข้อดีของหุ้นเล็กบ้างดีกว่า
1. หุ้นเล็กบางที่อาจจะเป็น Super Growth stock ในระยะยาว เหมือน CPF ตอนหลังปี 2009 จากราคาไม่เกิน 5 บาท พุ่งทะลุ 30 บาท ภายในเวลาไม่กี่ปี เป็นหุ้น 5-10 เด้งได้ เพราะตอนนั้นอาจจะยังไม่มีคนสนใจมากเท่าไร



ข้อเสีย
1.ถ้าจะลงทุนหุ้นเล็กอาจจะเครียดมากกว่าเพราะมีความผันผวนมากกว่า ราคาต่อวันอาจจะขึ้นหรือลงเป็น 10%
2. หุ้นเล็กสามารถสร้างข่าว ปั่นราคาได้ง่ายกว่าหุ้นใหญ่ เช่นหุ้น โลก....... มารู้ตัวอีกที เจอเรื่องฟ้องร้องโกงสัญญากับธนาคารซะงั้น....


ถ้าจะให้เลือกลงทุนหุ้นใหญ่หรือเล็ก........คำถามนี้ผู้ที่จะลงทุนต้องตอบตัวเองก่อน ว่ารับความเสี่ยงมากน้อยได้ขนาดไหน
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย ก็ควรเลือกหุ้นตัวใหญ่ ที่มีปันผลดีๆ
ถ้ารับความเสี่ยงมากๆ อยากลงทุนได้ผลตอบแทนสูงๆไวไว ก็เลือกเล่นหุ้นตัวเล็กๆที่มีความผันผวนมากหน่อย............
แต่ที่เหมือนกัน คือควรซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่แท้จริง
แล้วราคาที่แท้จริง ดูอย่างไร..........ก็ต้องกลับไปมองที่งบการเงิน ดู งบกำไรขาดทุน กระแสเงินสด ว่าเป็นบวกไหม
ดูความน่าจะเป็นของกิจการ ว่าน่าจะเติบโตยังไง มีโอกาสขนาดไหน ในส่วนนี้ผู้ที่จะลงทุนต้องศึกษาอย่างละเอียด

สุดท้าย ควรจะดูกราฟเส้นเทคนิค เป็นตัวเสริมเพื่อไว้อ้างอิง เพราะงบการเงินอย่างเดียว เราอาจจะไม่รู้จะเข้าที่ราคาไหนออกที่ราคาไหนดี
ถ้างบการเงินดีมีโอกาสเติบโต เราอาจจะเข้าซื้อที่ราคา ต่ำกว่า EMA 100 หรือ 200
แล้วพอราคากลับไปยืนเหนือ EMA 50 หรือมากกว่านั้นเท่าที่เราประเมินมูลค่าหุ้นจากงบการเงินแล้ว เราก็ขาย
การใช้ EMA เป็นเทคนิคของผู้เขียนเอง ไม่มั่นใจว่ามันจะถูกต้องนะครับ เป็นแค่ข้อเสนอแนะครับ


การลงทุนของแต่ละคนไม่มีใครตอบคุณได้
ในการลงทุนมีความเสี่ยง และทุกอย่างแล้วแต่คุณครับ ว่าจะเลือกแบบไหน ชอบแบบไหนครับ
ที่สำคัญหลังจากที่เราเลือกลงทุนหุ้นใหญ่หรือเล็กไปแล้ว เราต้องพัฒนาตัวเอง หมั่นศึกษาเพิ่มเติม ลองผิดลองถูก จนกว่าจะเจอสไตล์กาารลงทุนที่เหมาะกับเราครับ




วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

อาลีบาบาช่วยขายทุนเรียนไทย 1 นาที 80000 ลูกให้ไทย แล้วไทยต้องระวังอะไร

 301 views  
วันสองวันนี้ มีข่าวฮือฮาว่าหลังจากท่านแจ๊ค หม่าร่วมมือกับไทยปั๊บ วันรุ่งขึ้นทุเรียนไทย ขายได้ในเวบ Tmall 80000 ลูกภายใน 1 นาที
เป็นผลงานเปิดตัวชิ้นโบว์แดงที่ท่านแจ๊ค หม่ามอบให้ไทยอย่างสวยงาม
มองดูอนาคตการค้าไทย เจ้าของสวนทุเรียนจะสดใสต่อไปในอนาคต
รวมทั้งสินค้าอื่นๆ ของไทยเราด้วยที่หวังว่าซักวันจะมียอดขายถล่มทลายส่งออกไปจีน
แต่เราลองวิเคราะห์กันดีกว่า ว่าจีนเค้าจะใจดีขนาดนั้นเลยหรอ เรามีแต่ได้กับได้ขนาดนั้นเลยหรอ
ผมเลยไปสอบถามน้องคนนึง ที่ช่วยพ่อแม่ทำสวนทุเรียน ขายทุเรียนมาหลายสิบปี
มุมมองเค้าว่ายังนี้ตามรูปนะครับ


สรุปตอนนี้ที่ภาคใต้เรา คนจีนเยอะมากเป็นเจ้าของนายทุน จ้างคนไทยปลูก
แล้วคนจีนน่าจะเป็นคนกำหนดราคารับซื้อ แล้วทำการดีลกับพ่อค้าคนกลางที่จีนที่ส่งขึ้น Tmall อีกที
ตามที่พูดคุย คนจีนรับซื้อจากสวนในไทย ราคาประมาณหนึ่ง แล้วส่งไปแกะและโกดังช่องเย็นที่ลาว พอมีออร์เดอร์จาก Tmall ก็ส่งจากลาวไปจีนจนจบกระบวนการ
ไทยเราคือเหมือนรับจ้างปลูกทุเรียนให้ สร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนคนไทยมากมายส่วนหนึ่งในตอนนี้
แต่จีนได้กำไรส่วนต่างมากกว่าไทยเรา
แต่ลองมองอีกมุม การค้า อำนาจการต่อรอง เราไปอยู่ที่คนจีนหมด เหมือนเค้าเป็นพ่อค้าคนกลาง
นานๆไปพ่อค้าคนกลางเริ่มมีอำนาจการต่อรองมากขึ้น สามารถบีบบังคับราคารับซื้อได้ เพราะทุนเค้าหนา
แล้วตอนแรกๆหลายๆคนก็เห็นว่ากำไรดีเลยมาปลูกทุเรียน
อีกอย่าง ถ้าชาติอื่นใกล้ๆเราเห็นว่าการปลูกทุเรียนมันกำไรดี เค้าก็มาแย่งส่วนแบ่ง
ทำไปทำมา ราคาทุเรียนก็ตก เพราะเราไม่ใช่คนกำหนดราคากับการค้าการส่งออก
ช่องทางการปล่อยสินค้าเราก็ไม่ได้ทำเอง ให้จีนทำหมด
ต่อไปเราจะเป็นยังไง
ซ้ำรอยราคาข้าวที่เป็นปัญหาจนทุกวันนี้หรือไม่
อันนี้น่าคิดกันต่อไปนะครับ
กลับมามองสินค้าอื่นๆนอกจากทุเรียน ที่เป็นผลผลิตจากคนไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกบ้าง
ถ้าท่านแจ๊ค หม่าและจีน เลือกสินค้าเด่นๆจากไทยหลายๆตัวลง Tmall
คนจีนที่ทำธุรกิจในไทยเค้าจะไม่เห็นช่องว่างการทำกำไรหรอครับ

คนจีนหัวการค้ามาก อะไรที่มีกลิ่นทำกำไรมหาศาล เค้าก็จะรีบกระโดดมาเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อ 
รับซื้อทีละมากๆ ทุนเค้าหนากว่าเรา ช่องทางการปล่อยสินค้าก็มากกว่าเรา
ทำให้กำหนดราคา มีอำนาจต่อรองราคาทุกอย่าง พอถ้าเห็นว่าคุ้มที่จะทำโรงงานเองเค้าก็สร้างโรงงานผลิตเอง ทีนี้อนาคตเราจะเหลืออะไร
เพราะการค้าทุกอย่างเราไว้ใจจีนให้ไปเปิดตลาดอยู่แล้ว
แต่ผมคิดว่ารัฐบาลไทยมีมาตราการป้องกันในเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าไม่มี

เข้าทางจีนเพราะนี่คือกลยุทธ์ยอมถอยเพื่อกินรวบทั้งกระดานในอนาคต
กระบวนท่าเดียวสังหารหมู่ SMEs ไทยเลยครับ

ขอให้สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นจริงในอนาคต ขอให้จีนช่วยเราจากใจจริงๆ
สาธุ
 บทความนี้เป็นมุมมองส่วนตัวนะครับ เน้นอีกครั้งนะครับว่าอาจจะไม่เป็นไปตามบทความก็ได้ในอนาคต
คนจีนอาจจะช่วยเราจากใจจริงก็ได้ (มั้ง) ครับ
บทความนี้ลองมองอีกมุมนะครับ เพราะในมุมดีดีก็มีและมีหลายท่านเขียนเยอะแล้ว
การร่วมมือกับจีนเป็นสิ่งที่ดีมากและจำเป็นต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
แต่เมื่อมีผลดีก็ต้องมีผลเสียและหาทางรับมือกับผลที่ตามมา

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

แจ๊คหม่า แห่ง Alibaba ยกทัพลงทุนที่ไทย สวรรค์หรือฝันร้ายไทยในระยะยาว???

ช่วงนี้ข่าวท่านแจ๊ค หม่า ที่จะยกทัพมาลุยทุนในไทยโดยคือการลงทุนของอาลีบาบาในพื้นที่อีอีซี (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมถึงโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและส่งเสริมบุคลากรไทยในการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซ โดยมีแผนที่จะร่วมมือกัน คือ  
1) โครงการลงทุนสร้างศูนย์ Smart Digital Hub ใน พื้นที่ EEC โดยศูนย์ฯ นี้จะอาศัยเทคโนโลยีระดับโลกของอาลีบาบาในด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และไปยังที่อื่นทั่วโลก 
2) โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรในด้านดิจิทัลและการส่งเสริมธุรกิจผ่าน E-Commerce ซึ่งอาลีบาบาจะร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
3) โครงการร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการ SME และ Startup ของไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเน้นให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจ 

​4) อาลีบาบา จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) ในการจัดทำ Thailand Tourism Platform สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะเพื่อจัดกิจกรรมด้านการตลาดร่วมกันบนออนไลน์แพลทฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงกับสื่อและช่องทางต่างๆ ของ ททท. รวมทั้งจะร่วมมือกันในด้านการใช้ข้อมูลทางการท่องเที่ยว (Tourism Big Data) เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในไทยให้รองรับกับยุทธศาสตร์และแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวในระดับชุมชนของรัฐบาล
5) กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบาในการเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com เพื่อสนับสนุนการขายข้าวไทยทางออนไลน์ในจีน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวสามารถเข้าถึงตลาด E-commerce ในจีนได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ในปัจจุบันที่สินค้าไทยกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทย

อ่านดูแล้วเหมือนไทยได้เปรียบและน่าสนใจมากนะครับ ที่แผน 5 ข้อจะทำให้เศรษฐกิจไทยและผู้ประกอบการไทยจะดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคต
แต่ถ้าลองมองอีกมุมในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าวิเคราะห์ทีละข้อมันเหมือนฝันร้ายของบริษัทและ SMEs ไทยในอนาคตเลยนะครับ
วิเคราะห์เป็นข้อๆนะครับ เรื่องดีๆที่ท่านแจ๊คหม่ามาลงทุนมีคนวิเคราะห์ไปเยอะละ แต่ข้อที่น่ากังขาและน่าห่วง มีดังต่อไปนี้

1.โครงการลงทุนสร้างศูนย์ Smart Digital Hub ใน พื้นที่ EEC ถ้าพี่แจ๊คหม่า ซึ่งเป็นร่างทรงของจีน ที่ส่งมาตีหัวเมือง เค้าได้ประโยชน์เต็มๆคือ big data ของระบบโลจิกติกส์ เค้าสามารถประมวลผลส่งสินค้าจากจีนมาไทยได้ไวขึ้นและต้นทุนในการส่งถูกลง ขายสินค้าได้ราคาเท่าเดิมหรือถูกลง
ซึ่งเป็นที่น่ากลัวตรงที่ จีนเป็นประเทศใหญ่มาก โรงงานมีเป็นหลายล้านโรงงาน เมื่อการบริโภคเมืองจีนเริ่มตัน สินค้าที่ผลิตออกมาก็ขายในประเทศตัวเองก็ไม่เติบโต แต่โรงงานจากจีนต้องผลิตสินค้าทุกวัน เพราะจะต้องจ่ายค่าแรงให้คนจีนทุกวันเพื่อให้คนจีนมีกินมีใช้ ให้เศรษฐกิจเติบโต
เค้าก็ใช้ Hub ตัวนี้เพื่อกระจายสินค้าทั้งหมดของจีนไปในอาเซียนทั้งหมด เพื่อเอารายได้ให้คนจีนในระยะยาว
ถ้าถามว่าไทยจะสู้สินค้าต้นทุนจากจีนได้หรือป่าว 
ไทยเราสู้ได้บางอย่างแต่ส่วนใหญ่สู้ไม่ได้ครับในเรื่องราคา

2. โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรในด้านดิจิทัล และโครงการร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการ SME และ Startup ของไทย อันนี้ไทยได้เปรียบเพราะจะได้ความรู้แลกเปลี่ยนจากจีน มาพัฒนาศักยภาพของไทนเรา
แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าไทยมีไอเดียเจ๋งๆไปเสนอท่านแจ๊คหม่า และเค้าว่าไอเดียสุดยอด ทำเงินได้มากมายมหาศาล เค้าอาจจะลอกเลียนแบบมาทำก่อนนะครับ 
เพราะผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร

3.อาลีบาบา จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) ในการจัดทำ Thailand Tourism Platform สำหรับประเทศไทย 
มองดูเผินๆ ไทยเราได้ประโยชน์มากมาย รายได้จากการท่องเที่ยวจากคนจีนมากมาย แต่ช้าก่อนนะครับ ตอนนี้คนจีนใช้ Alipay มากมายในไทย
ร้านใหญ่ๆตามเมืองท่องเที่ยวก็รับชำระผ่าน Alipay คนจีนซื้อของในไทย แต่เงินจะเข้าที่ Alipay ที่จีนก่อนแล้วทางท่านแจ๊คหม่าจะหักส่วนแบ่งของเค้าแล้วจ่ายคืนร้านค้าในไทย
ท่านแจ๊คหม่าและจีน มีแต่ได้กับได้ รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้เข้าไทยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย 
แถมข้อมูลทั้งหมดของร้านค้าที่รับ Alipay ในไทยก็ส่งเข้าที่จีนเป็น big data นำมาประมวลผลต่อยอดดูดเงินจากคนไทยเข้าจีนอีกต่างหาก ได้กำไรสามสี่ต่อเลยครับ

4. กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบาในการเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com เพื่อสนับสนุนการขายข้าวไทยทางออนไลน์ในจีน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกษตรกร อันนี้ดูแล้วไทยน่าจะได้เปรียบเพราะได้ช่องทางการระบายข้าในตลาดจีนที่ใหญ่มาก เราจะได้รายได้เพิ่ม 

มองดูแต่ละข้อแล้ว ไทยน่าจะเสียเปรียบจีนในอนาคตระยะยาว ช่วงแรกๆท่านแจ๊คหม่าและจีน คงต้องใช้กลยุทธ์แสร้งถอยเพื่อรุก ยอมเสียเปรียบเพื่อกินรวบทั้งกระดานในอนาคต
คนจีนเป็นคนหัวการค้า เค้าปลูกฝังการค้าตั้งแต่เด็กๆ รู้จักพลิกแพลง ปรับเปลี่ยนให้อยู่ในสังคมได้ เพราะเมืองเค้าประชากรเยอะ การแข่งขัน ความลำบากจะมากกว่าที่อื่น
การโตมาเพื่อให้อยู่ในสังคมแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่จิตใจระดับที่สูงมาก ไม่กลัวความลำบากกว่าคนไทย
แต่ไทยเราไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเราต้องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว
ในอนาคตจะเป็นผูู้สูงอายุ คนเกิดน้อย เศรษฐกิจน่าจะฟุบถ้าไม่ทำอะไร 
ตัวเลือกที่ดึงท่านแจ๊ค หม่า กับจีนมาลงทุนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

แต่อนาคตไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับ บริษัทและ SMEs ไทย เมื่อสินค้าจีนทั้งหมดทะลักเข้ามาในไทยโดยไม่มีการควบคุมหรือป้องกันไม่ให้แข่งขันเรื่องราคา
เมื่อราคาสินค้าของจีนถูกกว่าและคุณภาพพอๆกับบริษัทในไทย (สินค้าจีนตอนนี้คุณภาพระดับโลกแล้วนะครับ เช่น Xioami และบริษัทใหญ่ๆในโลกก็จ้างจีนผลิต)
แล้วไทยเราจะเอาอะไรไปสู้กับเค้า........

บางทีก็เข้าใจ อมเริกา ทรัมป์นะครับ ที่เปิดศึกสงครามการค้า กับจีน เพราะเค้ารู้ว่าตอนนี้สินค้าอเมริกาต้นทุนสู้จีนไม่ได้เลย
และการผลิตและขายในอเมริกาก็กำลังจะแย่ลงไปเรื่อยๆ
แล้วอนาคตไทยเราจะเดินตามอเมริกาหรือไม่ น่าคิดนะครับ


บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ในฐานะ SMEs ตัวเล็กๆคนหนึ่ง
ส่วนตัวผมก็ได้แต่วางแผนรับมือในอนาคตต่อไปถ้าสิ่งที่มองมันเป็นจริงๆ







สามารถติดตาม บันทึกการเทรดหุ้นและ Forex จาก เพจของผมได้ที่ https://www.facebook.com/merchantetrader/

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...