เชื่อว่าเกือบทุกคนชอบเดินเข้าร้าน 7-11 และส่วนใหญ่จะเดินเข้าเกือบทุกวัน
แอร์เย็นสบาย มีของกินเยอะแยะ ตามสโลแกน "หิวเมื่อไรก็แวะมา 7-11"
ผมชอบเข้าไปซื้อกาแฟอเมริกาโน่ตอนเช้าๆทาน เพราะร้านข้างนอกยังไม่เปิดตอน 7 โมงเช้า แต่ 7-11 เปิด 24 ชั่วโมง
ในฐานะอดีตเคยเป็นลูกพ่อค้าโชว์ห่วยจะมีอคติกับ 7-11 นิดหน่อย เพราะร้านโชว์ห่วยเริ่มสลายไป
แต่กระนั้น โลกทุนนิยมเรามันหมุนตลอดทุกวัน ใครปรับตัวช้าก็โดนทอดทิ้ง เลยทำใจรับได้ ไม่โทษใคร
และก็มีความคิดแว่บๆ ถ้าเราอยากเปิดสาขา 7-11 บ้างละ เพราะเราต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วมซะเลย ตามหลักกลยุทธ์การศึกของจีน 555
เลยมาศึกษาหาข้อมูล ถ้าเรามีเงินลงทุน อยากเป็นเจ้าของกิจการ การันตีขายได้ทั้งวันทั้งคืน นอนๆ อยู่ก็ได้เงิน มีระบบดูแล
โอ้ว.............สบายจะตาย แถมโก้หรูด้วย ใครถามก็บอกเจ้าของ 7-11 สาขานี้สาขานู้น.........
เอาละ กำเงินก้อนแรกไปดูตามเวบไซด์ 7-11 เงื่อนไขแรก เปิดมาสะดุ้งเลย ลองเปิดดูนะครับ website เค้าไม่ได้ปกปิดอะไร
ข้อแรก จำเป็นต้องอยู่ร้านด้วยตัวเอง.................เคยวาดฝันไหมครับ ว่า มีระบบอะไรพร้อมแล้ว ไม่ต้องอยู่ร้านหรอก นอนๆเล่นๆไปนั่งสนทนาจิบกาแฟเดินห้างก็ได้เงิน
แต่ไหงจะซื้อแฟรนไชส์ 7-11 เค้ากึ่งบังคับให้อยู่ร้าน ไม่งั้นก็ไม่ให้แฟรนไชส์.....
ถึงจะจ้างคนอื่นมาดูแล แต่เราต้องดูแลอีกที งงไหมครับ สรุปคือ คุณต้องดูแลร้านเหมือนคุณเปิดร้านเองทุกอย่าง
ถ้าคุณไม่มีเวลาดูแล ไม่แนะนำให้ซื้อแฟรนไชส์นะครับ เพราะข้อบังคับเค้าเข้มมากเรื่องนี้ เน้นว่าจำเป็นและคุณสมบัติที่จะซื้อแฟรนไชส์ ต้องดูแลร้านได้
ส่วนดูแลแค่ไหน ก็ต้องมาปรับเปลี่ยนกันอีกที จะต้องนอนในร้านเลยไหม อันนี้ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่นอนได้ก็ดีมั้งครับ 5555
เอาละ ถ้าเรามีเวลาพร้อมดูแลร้าน เราก็มาดูเงินลงทุนกัน.........
การลงทุนมีสองขนาด เราไม่จำเป็นต้องมีตึกของเราเอง เราไม่มีก็ได้ไปเช่าเค้าเอาแล้วไปหักในส่วนค่าใช้จ่าย
เงินสำหรับแบบแรก รวม 1.48 ล้านบาท (เงินกินเปล่าา 7-11 เท่ากับ 4.8 แสนอีก 1 ล้านจะคืนให้เมื่อครบสัญญา 6 ปี)
รูปแบบที่ 2 ใช้เงิน 2.63 ล้านบาท (เงินกินเปล่าา 7-11 เท่ากับ 1.73 แสนอีก 9 แสนจะคืนให้เมื่อครบสัญญา 10 ปี)
ถามว่าสองรูปแบบแตกต่างกันยังไง ทำไมใช้เงินลงทุนต่างกัน คือยอดขายแต่ละแบบมากน้อยต่างกัน
โอกาสในการขายได้มากรูปแบบ 2 จะมากกว่ารูปแบบ 1 แน่นอน
ถ้าเอาให้ชัวร์ลองโทรสอบถามเจ้าของแฟรนไชส์นะครับ
แต่มีอันนึงที่ควรทราบว่าเวลาขายสินค้าได้ทั้งหมด เงินไม่ได้เข้าเรา จะเข้าส่วนกลางของ 7-11 ทั้งหมด
แล้วแบ่งออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ให้แก่ผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์
ถ้าซื้อแฟรนไชส์รูปแบบ 2 ยอดขายเมื่อหักต้นทุนสินค้าแล้วจะได้กำไรขั้นต้น จะแบ่งเป็น 54%ให้บริษัท และ 46% ให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
สมมติยอดขายวันละแสน ต้นทุนสินค้าเก้าหมื่น จะเหลือกำไร 1 หมื่น โดย 7-11 จะได้ 5400 และ ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเหลือ 4600 บาท
แต่+++++++อันนี้เน้นเลยนะครับ ต้องคุยดีดีนะครับ ว่าค่าใช้จ่ายต่างๆใครจ่าย เช่นค่าน้ำค่าไฟ ค่าลูกน้อง เป็นต้น
สมมติถ้าเราต้องออก หักแล้วเราเหลือเท่าไร อันนี้ควรคำนวนให้ละเอียดนะครับ.....
ผมไม่กล้าฟันธง แต่ค่าใช้จ่ายแฝงน่าจะเยอะพอสมควร ถ้าให้เราออก กำไรเราก็ลดลงอีกนะครับ
พอมาดูการซื้อแฟรนไชส์แล้ว เหมือนเราเปิดร้านและดูแลร้านทั้งหมดเองเลยครับ
คล้ายๆไม่ได้ซื้อแฟรนไชส์มาเลยครับ เหนื่อยทั้งคุมลูกน้อง ทั้งคุมค่าใช้จ่าย บริหารความเสี่ยงเองอีกต่างหาก ของหายก็โดนหัก
แต่ถ้าชอบอยากเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องลองครับ ข้อดีคือได้เรียนรู้ระบบบริษัท เทคโนโลยี การบัญชี เป็นต้นครับ
ซื้อแฟรนไชส์ 7-11 ได้กำไรชัวร์ๆแต่มากน้อยเท่าไรก็ไม่แน่ใจนะครับ แล้วแต่เราบริหารดูแล และทำเลที่ตั้งของเรา
แต่ถ้าเราไม่มีเวลาขนาดนั้นละครับ เรามีงานประจำอยู่แล้วหรือเราไม่ชอบงานบริการจุกจิก ปวดหัวง่าย เครียดง่าย
ก็ลองเลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ๆอย่าง CPALL แทนที่จะซื้อแฟรนไชส์ มาเป็นเจ้าของแฟรนไชส์เองซะเลย
เราก็ลองเปรียบเทียบในการลงทุนหุ้นเป็นระยะเวลา 6 หรือ 10 ปีที่ลงทุนแบบแฟรนไชส์ น่าสนใจนะครับ
ส่วนเวลาที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่ตอนไหน ก็แล้วแต่เราวิเคราะห์งบการเงิน ดูกราฟ ว่าต่ำกว่ามูลค่าในอนาคตหรือไม่
มันคือความเสี่ยงที่ต้องประเมินเองนะครับ ไม่มีใครบอกเราได้ เหมือนซื้อแฟรนไชส์ก็มีความเสี่ยงขายไม่ดี ไม่ได้ตามเป้า เราบริหารไม่ดีไม่มีเวลา ของหายบ่อย
ถ้าเราซื้อตอนมูลค่าหุ้นแพง เราก็จะติดดอย กินแต่ปันผล แต่ยังไงเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ 7-11 เช่นเดียวกัน 555
แต่ถ้าวิเคราะห์มูลค่าหุ้นแล้วยังมีโอกาสต่อไปได้ไกล เราก็ได้ทั้งส่วนต่างของราคาและเงินปันผล
แถมไม่ต้องเหนื่อยไปคุมร้านให้ปวดหัวด้วยนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่เราจะเลือกเองนะครับ ไม่มีผิดหรือถูก
แต่ที่ดีที่สุดคือเรามีที่ดินตึกพร้อมให้ 7-11 เช่า สบายที่สุดเลยครับ
บทความนี้ไม่ได้เชื้อเชิญในการซื้อขายหุ้นนะครับ แต่แบ่งปันประสบการณ์มุมมองการทำธุรกิจเทียบกับหุ้น การซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบกันอีกทีนะครับ