วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2561

รีวิวตัวเองปี 2018

รีวิวตัวเองปี 2018 
1. การค้าขายธุรกิจถึงจะเงียบเหมือนเดิมเพราะตลาดเปลี่ยนหมด ไปเป็นออนไลน์ แต่ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่เคยขาดทุนหรือชักเนื้อ ทำการตลาดออนไลน์ซื้อโฆษณาเฟสไปได้ดี เน้นราคาถูกบริการดี เราไม่มีหนี้ เราสบาย
2. การลงทุนที่ดิน ก็เป็นไปตามที่วิเคราะห์ ซื้อๆขายๆไปได้ดี เหลือแค่รอจังหวะช้อน
3.การเทรด ปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเจอ Trade war แต่ได้รับคัดเลือกเข้าไปเทรดของกองทุนออสเตรเลียได้เงินมาเทรด 7 แสนกว่าบาทแต่ผลงานยังไม่น่าพอใจ ด้วยความอ่อนด้อยและกากของเรา พยายามต่อไปในปีหน้า
4. สุขภาพ ปีนี้แย่เพราะกรดไหลย้อนรุนแรงมาก แต่พอเลิกบุหรี่มาเดือนกว่า หลังจากที่สูบมา 15 ปี กรดไหลย้อนหาย สุขภาพดีขึ้นแต่น้ำหนักเพิ่ม 5 โลจากการกินหลังเลิกบุหรี่ แต่ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่เลิกได้
5 . การบริจาคทำบุญ ปีนี้ถือว่าบริจาคเยอะมาก ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียนหรือสถานที่ขาดแคลน จะทำต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิต
6. การให้โอกาสคนและสอนวิชาทำมาหากินฟรีๆ ปีนี้ได้สอนการเทรดไปสามสี่คน ไปได้ดีสองท่าน ผลงานน่าพอใจและเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมาก แนะนำการทำธุรกิจน้องๆและเค้าเชื่อ ทำให้เค้าหมุนเงินทัน สบายๆ ส่วนบางคนมาขอยืมเงินตั้งตัวหรือเดือดร้อนก็ให้ไป และไม่ค่อยได้คืนเหมือนเดิม 555
7. ผลงานเขียนและแชร์ในเฟส ปีนี้ได้รางวัลนักเขียนอันดับ 3 ของโครงการ stock2morrow ถือว่าประสบความสำเร็จที่เป็นนักเขียนมือใหม่ ส่วนเรื่องประสบการณ์ที่โพสในเฟส บางท่านชอบมากบางท่านบอกเครียดไป ผมอยากจะเตือนเพราะเห็นอะไรมาเยอะประสบการณ์ที่น่าห่วงโดยตรงและพี่ๆเพื่อนนักลงทุนแชร์มา แต่ปีหน้าว่าจะเบาละ เน้นสายฮาแชร์อะไรเบาสมองกับ sexy ดีกว่า
8. ปีนี้ทำอะไรให้ใครขุ่นข้องหมองใจ ขอกราบขออภัยนะครับผม

เป้าหมายปี2019
จะทำให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า

ส่งท้ายปีเก่าและสวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ผลการทดลอง Dual Grid เปรียบเทียบกับ Grid ธรรมดา ใน คู่เงิน AUDCHF

สืบเนื่องจากได้คุยกับหมอตุลเมื่อวันที่ 19 พย. 61 ในงาน Psyquation meeting
ทางคุณหมอได้แนะนำกลยุทธ์ Dual Grid system
พอได้ไอเดียมาเพื่อนผมได้เขียน EA ทำการทดสอบกับคู่เงิน AUDCHF
โดยมี Condition แบบนี้
  1. กำหนดค่าคงที่ คือ ทุนที่ 2000 AUD โดยจะเปิดที่ราคา 0.760000–0.66000 จำนวน 23 ไม้ ที่ 0.01 lot ต่อไม้ จะได้ระยะ grid ที่เท่าๆกันคือ 434 จุด
  2. Dual Grid จะเปิด Buy และ Sell จุดเดียวกัน
  3. การทดลองโดยใช้ Variable factor คือ
3.1 เปรียบเทียบ Grid ธรรมดา (Long only) กับ Dual Grid(Long&Short)
3.2 Long position มี Trailing Stop ของกำไร และไม่มีTrailing Stop ของกำไร ส่วนหน้า Short position ก็มีTrailing Stop ของกำไร และไม่มีTrailing Stop ของกำไร เช่นกัน
3.3 Trailing Stop ของฝั่ง Long และ Short อยู่ที่ 150–200 จุด
4. Run ผลการทดลอง Backtest โดยใช้ mode Optimization ที่ Model Control point ที่ Timeframe H1 โดยกำหนดช่วงเวลา 1/2/2018 ถึง 1/12/2018 เป็นเวลา 10 เดือน เป็นช่วงเวลา Downtrend ประมาณ 8–9 เดือน
ผลการทดลองออกมาดั่งตาราง
ผลการทดลองและวิเคราะห์ออกมาเป็นดังนี้
  1. กำไรที่ดีที่สุดและ Max Drawdown ที่สุด คือ Dual Grid ที่ Long position มี trailing stop ที่ 200 จุด และหน้า Short ไม่มี Trailing stop
  2. เอาผลงานที่ดีที่สุดมา Run backtest เดี่ยวๆอีกรอบ ที่ model Control point ในระยะเวลาเดิม 10 เดือน จะได้กราฟออกมาประมาณนี้
เมื่อลองมาเทียบแบบ Grid ธรรมดา(Long only) ที่ค่าเดียวกันและไม่มี trailing stop ดังรูป
สรุปคือ
DUAL Grid ให้ Cashflow ดีกว่า และ Maximum DD น้อยกว่า Grid ธรรมดา อย่างมีนัยสำคัญ
ต่อให้ปิดออร์เดอร์ทั้งหมดวันที่ 1/12/2018 สุดท้าย Equity ของ Dual Grid ยังมากกว่า Grid ธรรมดา 100 เหรียญ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคือ backtest ผลการทดลองไม่ได้ 100% นะครับ
ผลการทดลองจะเปลี่ยนไปถ้าค่าต่างๆที่เรา fix ไว้ตั้งแต่ต้นเปลี่ยนไป เช่นจำนวนไม้ ทุน ค่าเงินเริ่มต้นและน้อยสุด เป็นต้น และ ค่า SWAP ต้องพิจารณาด้วยนะครับ
ไม่งั้นติด order นานๆพังได้ค่า Swap ลบเยอะเกินไป
ปล ขอขอบคุณเพื่อนรัก โต้งที่เขียน EA ให้
และ หมอตุลที่แชร์ไอเดียครับ

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สมการการทำธุรกิจง่ายๆแต่เรามองข้าม

บันทึกไว้เป็นไดอารี่ของการทำธุรกิจ
เมื่อวานได้คุยกับน้องคนหนึ่ง ได้แนะนำประสบการณ์ที่เคยบอกไว้นานแล้ว แต่ถ้าเราไม่เคยเจอของจริงๆเราจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
คือ สมการของการทำธุรกิจ มีแค่ สมการเดียวง่ายมาก

ซึ่งหลายๆคน รวมทั้งผมเมื่อก่อนตอนยังไม่มาทำธุรกิจคิดว่าง่ายมาก
ระดับเรา ป.ตรี โท เรียน Financial balance sheet income statement ท่ายากมาเยอะ
จริงๆ ท่ายากใช้ได้เฉพาะพื้นฐานแน่นแล้ว เราต้องเข้าใจมันจริง แค่สมการเดียว สามารถทำให้เรารวยหรือหมดตัวได้เลย
แค่ กำไร = รายได้ - รายจ่าย แค่นั้น ก็ทำธุรกิจได้สบายๆละ

ไม่ต้องจำเยอะด้วย เราหลงไปเรียนท่ายากมาเยอะ เครดิต เดบิต interest rate Net present value ต่างๆนานา
ถ้ามาทำธุรกิจจริงๆ พวกนี้ไม่ได้ใช้เลยโดยเฉพาะตอนเริ่มทำธุรกิจ

เราแค่ใช้สมการเดียวสามารถชี้เป็นชี้ตายธุรกิจเราได้ละ

ถ้ารายได้ มากกว่ารายจ่าย เราก็ กำไร ทำยังไงเราก็ไม่เจ๊ง
แต่ถ้า รายจ่าย มากกว่า รายได้ ยังไงเราก็เจ๊ง อยู่ที่เมื่อไรเราจะเจ๊ง

ดูจากสมการง่ายๆนี้ รายได้เยอะ ไม่ได้แปลว่าจะกำไรเยอะตาม
มันอยู่ที่การคุมรายจ่าย
รายได้เยอะยอดขายเยอะ แต่รายจ่ายเยอะตาม หักลบกัน เผลอๆกำไรเท่าเดิมจากที่ยอดขายตอนยังไม่เพิ่ม
หรือกำไรอาจจะน้อยกว่าเดิม เผลอๆอาจจะขาดทุน เพราะรายจ่ายเพิ่มมากกว่ารายได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน

ฉะนั้นที่ป๊า (จบ ป. 4) ผมสอนจนทุกวันนี้ บัญชีสำคัญที่สุด
จริงๆนะที่บอกว่า
เราห้ามหลอกตัวเองเด็ดขาด ขายได้ ขายดี แต่ไม่มีกำไร แสดงว่าทำอะไรผิด อย่าคิดว่ามันจะดี
ให้ดูตามตัวเลข กำไรก็คือกำไร ขาดทุนก็คือขาดทุน

ที่พลาดกันคือหลอกตัวเองกันทั้งนั้น

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

การคำนวนธุรกิจหอพัก

ถ้าเราอยากซื้อหอพัก อพาร์ทเม้นซักที่เพื่อเอาค่าเช่ามากินใช้ เราจะซื้อที่ราคาไหน หอพักมีกี่ห้อง
นั่งคิด เปลี่ยน Mindset ใหม่ วางใจเป็นกลาง
สมมติคิดออกจะ bias ไปทางอยากได้
มีหอที่นึง โดนยึดประกาศขาย 26 ล้านบาท ถ้าต่อดีดีไม่มีคนเอา น่าจะจบที่ 20 ล้าน
หอพักมี 50 ห้อง ตีค่าเช่าให้เดือนละ 3000 ต่อห้อง
50x3000 = 150 000 บาทต่อเดือน หรือ 1.8 ล้านบาทต่อปี
แต่เราคำนวนเผื่อไว้ว่ามีคนเช่าต่อเดือนคือ 70% คือ 70%*50 =35 ห้อง
คิดแล้วต่อเดือนจะได้ 105,000 บาทต่อเดือน หรือ 1.26 ล้านบาทต่อปี
คืนทุน 20 ล้านหาร 1.26 ล้าน = 15 ปี
กำไรจากค่าน้ำค่าไฟเราไม่คิด ถือว่าเรามาเป็นค่าบำรุงรักษาหอเวลาเกิดอะไรเสีย
ถ้าเรามีเงินเย็นๆมากพอ และไม่กังวลเรื่องวุ่นวานที่เกิดในหอพักเช่นน ผัวเมียทะเลาะกัน เบี้ยวค่าเช่า
เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ถ้าต่อรองเหลือราคาที่ 10-12 ล้านได้
จะคืนทุนไวกว่าเดิมมาก

ไม่นับถ้าเงินกู้ธนาคาร
ถ้าสมมติกู้ธนาคาร 10 ปี ที่ 15 ล้านบาท สมมติดอกเบี้ยรวมเงินต้นคือ 150,000 ต่อเดือน
รายได้จากค่าเช่า ยังไม่พอกับรายจ่ายเลย
ตีตกมันไป
มานั่งคิดเพราะเมื่อก่อนได้ยินว่าทำหอพักดีมาก ตอนเช่าอยู่กทมพระราม 7 ก็ยังสงสัยมาบัดนี้
เพิ่งมานึกออกตอนนี้ว่าเจ้าของหอเคยบอกว่าตอนสร้างหอเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วไม่ถึง 10 ล้าน แต่ให้เช่าเดือนละ 3000
มิน่าละ ทำไมเค้าปลดหนี้ธนาคารไม่ถึง 10 ปี
แต่ตอนนี้ค่าก่อสร้างและค่าครองชีพมันแพงกว่าเดิม



วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทองคำไทยทำไมราคาลงเยอะ แล้วประเทศอื่นละลงเหมือนเราไหม




ทองไทยทำไมถึงลง แล้วทองเปลี่ยนเป็นเงินประเทศอื่นละ จะลงไหม
เลยไปค้นข้อมูลมาเทียบกับประเทศอื่นๆที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตอนนี้

มาดูตั้งแต่ปี 2011 จนถึงวันนี้ปี 2018
ทองเปลี่ยนเป็นเงินเวเนซุเอล่าจาก 7000 ขึ้นไปเป็น 300 ล้านโบลิวาร์ภายใน 10 ปี เงินโคตรไม่มีค่าเลย
ทองเปลี่ยนเป็นเงินอาร์เจนติน่า จาก 55000 เป็น 540000
ทองเปลี่ยนเป็นเงินอินโดนีเซียจาก 12 ล้านไปเป็น 18 ล้าน
ทองเปลี่ยนเป็นเงินตุรกี จาก 1800 ขึ้นไปเป็น 7900

แต่ไทยเราทองเปลี่ยนเป็นเงินบาทลงเอาลงเอา

ทั้งที่ทองตลาดโลกลงจาก 1300 us เหลือ 1200 us ประเทศที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจย่อมๆราคาทองจะพุ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเป็นค่าเงินประเทศนั้น

แต่ถ้าทองประเทศไหนลง อนุมานได้ว่าประเทศเรายังรับมือกับสงครามการค้าระหว่างเมกากับจีนได้มั้ง

เค้าว่ากันว่าเพราะเราเคยเจอวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ทำเราจำฝังใจ ไม่ประมาท

ถ้าเทียบกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์เราไม่โดนผลกระทบกับโลกข้างนอกมากนัก

เงินบาททรงๆไม่อ่อนหรือแข็งไปทำให้ทองคำในเงินบาทลดลงตามตลาดโลก

ถ้าดูจากกราฟ เมื่อไรที่ประเทศเริ่มเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเกิดแบบรุนแรง
เมื่อนั้นทองจะพุ่งขึ้น เมื่อเปลี่ยนเป็นสกุลเงินประเทศนั้น ต่อให้ทองตลาดโลกลงก็ตาม เพราะทองมีค่ามากกว่าเงินกระดาษในแง่ของความเชื่อ

ดังนั้นการเก็บทองเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจมั้ง

ความเห็นส่วนตัวพร้อมกับหลักฐานที่หามาจากโลกภายนอกใน google

การเทรด forex มีข้อดีตรงได้รับรู้ตลาดโลกแล้วมาวางแผนในประเทศหรือเมืองเรา ว่าเราจะเอายังไงต่อไป เพราะโลกใบนี้เชื่อมต่อกันแบบใกล้ชิดมากกว่าเดิม

ผีเสื้อกระพือปีกที่เมกา สะเทือนถึงแผ่นดินไทยเลยตอนนี้


วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

Big Crises ตอนที่ 2

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีแค่สองสามประเทศที่มีวินัยทางการเงินที่ดีจะผ่านวิกฤตหนี้ (Debt Crises) เนื่องจากเป็นวัฏจักรวงจรจิตวิทยาของมนุษย์ ทำให้เกิดฟองสบู่ (Bubble) และฟองสบู่แตก (Bust)
รัฐบาลแต่ละประเทศอยากจะทำให้มีวินัยทางการเงินที่ดี แต่มันจะแลกกับการเติบโตของประเทศที่ไม่ดี เมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายทางการเงินจะทำให้เกิดการสร้างเครดิตที่ง่าย นั่นคือสาเหตุของวัฎจักรหนี้ (Debt Cycle)
แล้วทำไมถึงมีวัฏจักรวิกฤตเศรษฐกิจ
ลองมองในมุมหนี้ส่วนบุคคล สมมติคุณกู้เงินมาแต่คุณไม่สามารถหารายได้มาพอจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นเพียงพอ ในอนาคตคุณก็ต้องโดนบังคับขายทรัพย์สิน และล้มละลาย มองดูรูปแบบการก่อหนี้ของบุคคลจะมองเห็นภาพว่ามันคือวัฏจักรการเกิดวิกฤตเพราะคุณไม่มีทางหาเงินมาจ่ายเงินต้นได้
มองในมุมของเกมเศรษฐีจะเข้าใจง่ายมาก ก่อนเริ่มเกมส์ผู้เล่นจะได้รับเงินสดจำนวนมาก และทรัพย์สินจำนวนหนึ่ง โดยเงินสามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้ เมื่อเล่นเกมไปเรื่อยๆ ผู้เลนจะมีทรัพย์สินเป็นบ้านและโรงแรม ผู้เล่นคนอื่นที่เล่นมาตกที่ทรัพย์สินของคนอื่นต้องจ่ายเป็นค่าเช่าให้กับเจ้าของที่
พอเงินสดเริ่มขาดมือ ทรัพย์สินบางแห่งต้องโดนบังคับขายในราคาที่ถูกเพื่อเอาเงินสดมาใช้จ่าย
เกมส์เศรษฐีนี้ เมื่อต้นเกมส์ ผู้ชนะคือคนมีทรัพย์สิน แต่ตอนท้ายเกมส์ เงินสดคือพระเจ้า ดังนั้นคนเล่นเกมส์นี้เก่งคือคนรู้จังหวะในการผสมผสานระหว่างเงินสดและทรัพย์สินให้ได้ จังหวะไหนควรเก้บเงินสด จังหวะไหนควรหาเงินสดให้ทันพอค่าใช้จ่าย จังหวะไหนลดรออย่าก่อหนี้เพิ่มเพื่อลดความเสี่ยง
กลับมามองในรูปแบบวงจรเศรษฐกิจ เศรษฐกิจจะโตได้เกิดการการก่อหนี้ทางการเงิน นำมาลงทุนพัฒนาทรัพย์และสาธารณูปโภคในประเทศยกตัวอย่างเช่นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Country) ตอนแรกประเทศเกิดใหม่กำลังพัฒนาจะมีค่าแรงงานที่ถูกแต่สาธารณูปโภคที่ไม่ดี เมื่อประเทศเริ่มสร้างสาธารณูปโภค ทำให้เกิดการพัฒนาและทำให้การส่งออกดีขึ้น ทำให้รายได้เข้าประเทศมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าเมื่อมีการแข่งขันเรื่องค่าแรงและค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในประเทศจะทำให้การส่งออกโตช้าลงเมื่อเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาที่ค่าแรงต่ำกว่า มันจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่(Bubble) เมื่อมีการคาดหวังรายได้เกินความเป็นจริงทั้งที่รายได้ในอนาคตไม่เพียงพอต่อดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องใช้คืน เมื่อนั้นจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกเพราะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้
Ray Dalio ได้บอกว่า
  1. ถ้าหนี้อยู่ในรูปเงินของสกุลเงินต่างประเทศจะจัดการยากกว่าสกุลเงินในประเทศเมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินของโลก
  2. เมื่อเกิดวิกฤตหนี้และสามารถแก้ปัญหาวิกฤตได้ยังไงมันต้องกระทบกับประชาชนไม่ทางใดทางนึงแน่นอน
การแก้ปัญหาเมื่อเกิดวิกฤตหนี้เพื่อจะทำให้มันลดลงมีอยู่ 4 วิธี
1) เพิ่มความเข้มงวดและมีวินัยทางการเงิน Austerity (เช่นใช้จ่ายน้อยลง)
2) ไม่จ่ายหนี้และดอกเบี้ย หรือชักดาบเพื่อมาเจรจาต่อรอง Debt defaults/restructurings
3) ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมากเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ The central bank “printing money” and making purchases (or providing guarantees)
4) ย้ายเงินและเครดิตไปให้ประเทศที่ต้องการเงินเพื่อเป็นเจ้าหนี้ซะเอง Transfers of money and credit from those who have more than they need to those who have less
4 วิธีนี้จะมีผลกระทบกกับเศรษฐกิจต่างกัน บางอย่างทำให้เกิดเงินเฟ้อหรือการเติบโตหยุดชะงัก บางอย่างจะทำให้เกิดเงินฝืด
ทางรัฐบาลระมัดระวังในการแก้ปัญหาหนี้โดยต้องทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยที่สุด

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

ทำไมตอนนี้มีแต่คนมาเตือนเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกแบบที่เราจะไม่เคยเจอในชีวิตเรามาก่อน

ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเสมอ เพราะเป็นวัฏจักรของโลกใบนี้
อยู่ที่จะกินเวลาเท่าไร
สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานั่งไล่อ่านหนังสือหลายๆเล่มตอนเย็นๆ อยู่กับตัวเอง ทำสมาธิ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจที่ผ่านมาจากหนังสือคนเก่งๆ เช่น Ray Dalio ผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโรเบิร์ต คิโยซากิ คนเขียนพ่อรวยสอนลูก พูดตรงกัน
ซึ่งเค้าทำนายมาหลายปีแล้วว่าจะเจอวิกฤตแน่ๆ แต่ไม่รู้เมื่อไร
ถ้าเราไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ เราจะไม่รู้เลยว่าอเมริกาและเยอรมันก็ผ่านจุดตกต่ำที่สุด ยิ่งเยอรมันเกิดภาวะแบบเวเนซุเอล่าเมื่อช่วงก่อนและหลังสงครามโลก เริ่มตั้งแต่ปี 1930
เมื่อปี 1930 เรายังอยู่ชาติที่แล้วอยู่เลย ยังไม่มาเกิดในชาตินี้ เราจึงไม่รับรู้ความลำบากตอนนั้น
คนเยอรมันไม่มีจะกินคล้ายๆเวเนซุเอล่าอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงฟื้นฟูประมาณ 25 ปีถึงเริ่มจะดีขึ้น
เริ่มดีขึ้นก็มาช่วงรุ่นพ่อแม่เรา ที่เศรษฐกิจโต เนื่องจากมีอัตราการเกิดที่สูงขึ้น
เศรษฐกิจจะโตได้ก็มาจากประชากรมีมากขึ้นและมีการทำงานหาเลี้ยงชีพและบริโภคมากขึ้น
รุ่นผมจึงไม่เคยเห็นการไม่มีกิน อดมื้อกินมื้อกัน เกิดมาเศรษฐกิจก็ดี
รุ่นพ่อแม่ค้าขายอะไรก็ได้ มีเงินมีทองเก็บมาจนถึงรุ่นผม
แต่ Ray Dalio และโรเบิร์ต คิโยซากิ บอกว่า เศรษฐกิจโตที่ผ่านมาคือ โตโดยการกู้หนี้ยืมสืน (Credit/Debt) มากกว่าการทำงานเพื่อให้ได้ผลผลิตของประชากร
มันคือระเบิดเวลา ที่รอวันแตก เปรียบเสมือน เรากู้มาใช้จ่าย และกู้หนี้ใหม่ไปโปะ หนี้เก่า ซึ่งหนี้มีแต่เพิ่ม ไม่มีวันลดเลย เป็นฟองสบู่หนี้ที่น่ากลัว
มันผ่านมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนมาถึงรุ่นเรา ใช้เวลา 50-60 ปี
จะสังเกตช่วงนี้มีแต่คนมาเตือนเรื่องเศรษฐกิจว่าระวังให้ดี ว่าจะแย่กว่าที่รุ่นเราเคยเจอ (เพราะเราเกิดมาก็ไม่เคยเจอแบบแย่ๆมาก่อน)
สาเหตุหลักคือ คนเกิดน้อยลง เกือบทั่วโลก หนี้เราเพิ่มทุกวันแต่คนเราเกิดน้อย คนทำงานหาเงินใช้หนี้ก็น้อยลง แต่หนี้มีแต่เพิ่มมากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ
เราไม่มีทางใช้หนี้ได้ เพราะการหาเงินน้อยลงมากกว่าหนี้ที่วิ่งพุ่งขึ้นไป
ซักวันฟองสบู่มันก็ต้องแตก อยู่ที่ว่ารัฐบาลแต่ละประเทศจะยื้อเวลาได้เท่าไร
พอฟองสบู่หนี้แตกเราก็อดอยากกัน ล้มละลายกัน
พอแย่กันสุดๆ มันก็จะเริ่มดีขึ้น เป็นวงจรวัฏจักร อาจจะกินเวลา 10-50 ปี ไม่มีใครรู้
รู้อย่างเดียวว่า ขออย่าให้มันเกิดที่รุ่นเราเลย (แต่ถ้าไม่เกิดรุ่นเราก็อาจจะไปเกิดที่รุ่นลูกหลานของเราแทน)
ความรุนแรงของการเกิดจะมากที่สุดที่เราเคยเจอ อาจจะประมาณเวเนซุเอล่าก็ได้ เพราะเราไม่เคยเจอเราถึงคาดไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร
ที่สำคัญคือที่เค้าเตือนคือ ถ้ามันเกิดวิกฤตแบบนั่นจริงๆ เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
สรุปมาประมาณนี้นะ

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

Big Crisis Debt หนังสือที่น่าสนใจมากของ Ray Dalio ตอนที่ 1



Big Crisis Debt หนังสือที่น่าสนใจมากของ Ray Dalio
มานั่งคิดว่าถ้าอ่านไปด้วยแปลและเรียบเรียงไปด้วยน่าจะได้ความเข้าใจมากกว่า ผิดถูกขออภัยล่วงหน้านะครับ
บทที่ 1 Archetypal Big Debt Cycle
---------------------------------------------
มาเริ่มคำว่านิยามของคำว่า Credit และ Debt กันก่อน
ซึ่ง Ray นิยาม Credit ว่า การใช้พลังในการซื้อ (ฺBuying power) โดยไม่ต้องใช้เงินสด โดยอนุญาติให้ซื้อขายกันโดยมีสัญญาว่าจะจ่ายเงินสดคืนในอนาคต
ซึ่ง Buying Power นี่ก็คือ หนี้ หรือ Debt นั่นเอง
Credit มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง
ถ้าเราให้ credit น้อยไปในการพัฒนาประเทศ มันจะทำให้เกิดการพัฒนาที่น้อยเช่นกัน ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ในทางกลับกันเมื่อมี Credit ขึ้นมาก็จะมีหนี้ Debt ตามมาถ้าคนที่ใช้เครดิตไม่มีเงินจ่ายคืน
Credit หรือ Debt นี้ถ้ามันเติบโตขึ้น มันจะมีส่วนดีและไม่มีในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับว่า Credit มีเท่าไรและหนี้สามารถจ่ายคืนได้ไหม
ทาง Ray บอกว่าเมื่อก่อนเค้าก็ไม่ชอบการยืมเงินโดยใช้เครดิต เวลาเค้าไม่มีเงินเค้าก็จะใช้วิธีการออมมากกว่าการยืมหรือขอกู้ ซึ่งมันเป้นนิสัยส่วนตัว ว่าถ้ากู้มามันจะเสียผลประโยชน์มากกว่าได้
แต่ Ray ได้เรียนรู้มาว่าการใช้ Credit มันไม่ได้เลวร้ายเสมอไป โดยเฉพาะใช้กับสังคมหรือประเทศ นโยบายของสังคมไม่เหมือนกับนโยบายของส่วนบุคคล
Ray ได้ เรียนรู้มาว่า การเติบโตของ Credit หรือ Debt ที่น้อยเกินไปมันจะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้ขาดโอกาสการพัฒนาหลายๆด้าน
Credit ทำให้เกิดพลังในการใช้จ่ายและหนี้
Credit ที่ต้องการมากขึ้น อยู่ที่ว่าจะสามารถนำไปสร้าง ผลผลิต(Productivity) ที่เพียงพอและสามารถสร้างรายได้มาจ่ายหนี้ได้ ทำให้เกิดการไม่แบ่งปันทรัพยากรที่ใช้ในการสร้าง productivity ได้
ถ้าหนี้สามารถจ่ายได้จะทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้กู้และผู้ให้กู้
แต่ถ้าหนี้ไม่สามารถจ่ายได้ จะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่พอใจ มันจะทำให้เกิดการไม่แบ่งปันทรัพยากรที่ใช้ในการสร้าง productivity ได้
ในทางสังคม เราจะพิจารณาผ่านทางผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจมากกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจหลัก
ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งที่เงินไม่พอหรือ Credit ไม่พอจะไม่สามารถให้ทางศึกษาแก่เด็กได้ทั่วถึง (การศึกษาจะทำให้ผลผลิตดีขึ้น ลดอาชญากรรมในอนาคตได้) หรือมีการเปลี่ยนระบบสาธารณูปโภคให้ดีขึ้น
Credit หรือหนี้จะเป็นสิ่งที่ดีได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้างเศรษฐกิจที่สามารถจ่ายเงินคืนด้วยตัวมันเองได้ แต่ในความจริงการแลกเปลี่ยนมันมองยาก
ถ้ามาตรฐานของผู้กู้สูงเกิน มันจะทำให้เกิดการจ่ายเงินคืนได้ และจะทำให้เกิดหนี้น้อยลง แต่มันจะทำให้การพัฒนาน้อยลงด้วย
ในทางกลับกับถ้ามาตรฐานผู้กู้หละหลวมมันจะทำให้เกิดหนี้มากขึ้นทำให้จ่ายคืนยากขึ้น จะทำให้เสียมากกว่าได้
ต่อตอน 2 แล้วแต่ว่างนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

ทองแท่งไทยจะเหลือ 14000 บาท เมือ่เกิดเหตุการณ์ใด

เห็นบางคนบอกทองจะไป 14000 บาท ต่อ ทองแท่ง 1 บาท
ผมก็เคยคาดเดาแบบนี้ พอมาลองเทรดจริง คำนวณจริงๆ
มันต่างจากวิชาการที่เอาแต่คาดการณ์ ที่ไม่เคยลองเทรดทองดูซักที
ถ้าลองเทรดทองแท่งจริงๆเราจะมีเห็นเหตุการณ์ได้หลายรูปแบบมาก
ถ้าใครดูอนาคตทองขึ้นหรือทองลงออก คนนั้นรวยเป็นพันๆล้านไปแล้ว
ไม่ต้องมานั่งทำงานงกๆๆ เลยจริงๆ ให้ตายซิ
ทองคำจะลงไป 14000 ได้ มีกรณีใดบ้าง
ผมเลยจำลองสถานการณ์มาให้ดู
ทองแท่งในไทยคำนวนยังไง เคยสงสัยกันไหม
ผมก็เคยสงสัยแต่ไม่ได้เจาะลึกมาก่อน มาเจาะลงตอนเริ่มเทรดจริงจังนี่แหละ
ทองแท่งไทยจะขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก เรียกว่า Spot Gold
คิดเป็นหน่วย ออนซ์ ต่อ ดอลล่าร์
1 ออนซ์ของทองคำ คือ 31.104 กรัม
แต่ทองคำแท่ง 1 บาท จะเท่ากับ 15.24 กรัม
ทางทองไทยเค้าจะกำหนดค่าคงที่ในการแปลงบาทเป็นออนซ์อยู่ที่ 0.4723 (ซึ่งถ้าคำนวนจริงๆมันจะไม่ใช่ค่านี้ มันจะเป็น 15.24/31.104 = 0.49 )
วันนี้ ทองคำตลาดโลก เท่ากับ 1204.5 USD ต่อ 1 ออนซ์
และค่าเงินบาท จะเท่ากับ 32.56 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์
แปงเป็นทองแท่ง 1 บาท = 1204.5 * 32.56 * 0.4723 = 18522 บาท
แต่สมาคมทองคำไทยจะประกาศอีกที ราคาไม่บวกลบเกิน 100 บาท
ใช้สูตรนี้คำนวนต่อ จำลองเหตุการณ์
1. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทแข็ง 30 บาทต่อ USD ทองคำไทยจะเหลือ 14169
2. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทอ่อน 35 บาทต่อ USD ทองคำไทย จะเหลือ 16350
3. ทองลงเหลือ 1000 USD ต่อ ออนซ์และเงินบาทอ่อน 40 บาทต่อ USD 18892
แล้วลองคำนวนต่อเอง จะเห็นว่า
ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทอ่อน ทองก็สามารถขึ้นได้ถ้าแปลงเป็นเงินบาท
ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทแข็ง ทองก็สามารถลงได้ถ้าแปลงเป็นเงินบาท
เหมือนตอนนี้ทองคำตลาดโลกลง แต่เงินบาทก็อ่อนลงด้วย มันคานกันไปเรื่อยๆ
มันแปรผกผันกันอยู่นิดๆ
จะให้เดา ทองจะลงไป 14000 ได้มีโอกาสน้อยมาก เพราะเงินบาทต้องแข็งมากๆ
แต่ไม่ใช่ไม่มีโอกาส อะรก็เป็นไปได้หมดในโลกใบนี้
เอาแต่วิชาการอ่านข่าว คาดเดา predict ไปเรื่อยๆ มันไม่เท่ากับการลองเทรดเอง เจ็บเองกำไรเองจริงๆ
ลองปฎิบัติดูแล้วจะรู้

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

อยากเป็น Fulltime Trader ไหม

นั่งอ่าน คนรุ่นใหม่ไฟแรงในกลุ่มเทรดเดอร์ อยากจะออกมา fulltime trader
เหมือนมองเห็นตัวเองตอนจบ ป.ตรี โท ใหม่ๆ
อีโก้มาเต็ม
เมื่อก่อนผมคิดว่า เฮ้ย.............เราจบระดับนี้แล้ว
ป.ตรี โท วิศวะ มหาลัยดัง
ตอนเรียนโท ยังทำงานไปด้วยส่งตัวเองเรียนไปด้วย ไม่ได้ขอที่บ้านหลังจากจบ ป.ตรี
คิดว่าทำธุรกิจมันไม่ยากหรอก กระจอกจะตาย
คนที่จบไม่สูงเท่าเรา ยังประสบความสำเร็จเลย
มาวันนี้อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองตอนนั้น ว่า มึงมันโง่มากเลย.... โง่แล้วอวดฉลาด
โง่แบบไม่น่าให้อภัยตัวเอง
ทำธุรกิจมันยาก......ยากสาดสาด พูดแบบหยาบๆเลย
ยากกว่าที่เรียนทฤษฎีวิชาการ มาหลายล้านเท่านัก
ลองมองคนประสบความสำเร็จ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา (ที่พ่อแม่ไม่ฐานะหรือเงินให้มาสร้างตัว)
เค้าร่ำรวยขึ้นมาได้ มีที่ดิน มีเงิน มีทอง มีตึก
ตรงนั้นมันคือร่องรอยของหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา ความกดดัน ความเครียดขนาดไหน เราไม่มีทางได้รับรู้ได้หรอก เพราะเราไม่อยู่จุดนั้น
เรามาเห็นตอนเค้ามีทุกอย่างและสบายแล้ว
เค้าใช้เวลาเป็นหลายสิบปีกว่าจะมีวันนี้
ไม่ใช่วันสองวันหรือปีสองปี
ขนาดผมโชคดียังพอมีฐานให้ แต่ไม่ได้มากมายจนจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจ
ยังต้องสู้ อดทน ทำธุรกิจ
คนภายนอกมองเหมือนผมสบาย
แต่ต้องคิดหาทางเอาตัวรอดในโลกต่อไปนี้ทุกวัน
ชีวิตเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่น........
จริงๆนะน้อง

ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกอย่างอย่างที่ใจต้องการไม่ว่าอาชีพไหน
 แต่เราถามตัวเองหรือยัง เราอึดและอดทนมากพอไหม

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การเขียน Blog ในเวบไซต์ สามารถปลดหนี้คนๆนึงที่มีหนี้บัตรเครดิต ?????

การเขียน Blog ในเวบไซต์ ใครคิดว่าจะทำให้ปลดหนี้คนๆนึงที่มีหนี้บัตรเครดิต ประมาณเกือบล้านบาท (22,302 dollar)
โดยที่ไม่ได้รับบริจาคใดใดทั้งสิ้น
ในหนังสือ พฤติกรรมพยากรณ์ ได้เล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นว่า
มีผู้หญิงชาวอเมริกาวัย 29 ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเกินตัวจนเป็นหนี้
พอเป็นหนี้ รู้สึกอับอายจนไม่ได้ปรึกษาใครในครอบครัว หรือเพื่อนๆ
แต่มีมาวันนึง เธอเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
เธอใช้วิธีเขียน blog ลงในเวบไซต์ บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างในการเงินของเธอ ทำไมถึงพลาด และจะแก้ไขยังไงต่อไป
เธอใช้เวลา 1 ปีในการปลดหนี้จนสำเร็จ
ทำไมเธอถึงปลดหนี้สำเร็จ
ศาสตราจารย์ MIT ให้ข้อคิดว่า มนุษย์เราทุกคนต้องการเครื่องชี้นำทางในการเดินไปตามเป้าหมาย
ถ้าเรามีเป้าหมายแต่เราไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวนำทาง
ชีวิตเราจะเขวและหลุดออกไปได้ง่ายจากที่เคยตั้งใจไว้
มันคือนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง
การเขียน blog เปรียบเสมือน การยอมรับความผิดพลาดของตนเองจากส่วนลึกในจิตใจ
มันต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่บอกความจริงให้คนอื่นรู้
(มันง่ายมากที่จะโชว์อวดในเฟสมากกว่าการยอมรับความจริง)
เธอเขียน blog ทุกครั้ง และมีคนมาอ่านช่วย comment ให้กำลังใจ
การอ่านและ comment ของผู้ติดตาม เปรียบเสมือนเครื่องชี้นำทาง ให้เดินไปสู่จุดหมายอย่างที่ตั้งใจไว้
ทำให้เธอปลดหนี้สำเร็จ
โลก Social เป็นเหมือนดาบสองคม
คนรู้วิธีใช้มัน จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด
แต่คนไม่รู้วิธีใช้มัน จะทำให้เป็นทาสของมัน ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆนานาทำให้จิตเราอยากมีอยากได้ โดยไม่รู้กำลังตัวเอง จนเป็นหนี้เป็นสิน
เรียบเรียงสองสามบทมาผสมเป็นโพสเดียว
อ่านแล้วน่าคิดตามมาก
จาก
หนังสือ พฤติกรรมพยากรณ์
ปล.หลังๆเทรดและศึกษาอ่านหนังสือ
น่าเรียนวิชา ปรัชญาและ Zen มาก
ต่อไปคงคุยกับใครไม่รู้เรื่องแน่ๆ
โลกเราคือสมมติ ทองคำ เงินกระดาษคือสิ่งสมมติทั้งนั้น
ถ้าตบะแก่กล้ากว่านี้ หนีไปบวชธุดงค์ในป่าดีกว่า
แต่เหลือบมองเห็นสาวๆในเพจ CupE แล้วยังรู้สึกละกิเลสไม่ได้
555555555555555

ทำไมต้องอ่านหนังสือ พฤติกรรมพยากรณ์

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วจี้ใจดำตัวเองได้มากที่สุด
อ่านแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนเขียนคือศาสตาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย MIT
เขียนเป็นแนวพระพุทธศาสนามาก
หนังสือเล่มนี้ บอกตัวเองว่า ทำไมมนุษย์เราถึงไร้เหตุผล ตรรกะความคิดขนาดนี้
มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เราขาดการยับยั้งชั่งใจตัวเองเมื่อเจอสภาพแวดล้อมตั้งแต่เด็ก ประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดีที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อนิสัยเราในอนาคตระยะยาวยังไง
ทำไมเราชอบผัดวันประกันพรุ่ง
ทำไมเราถึงชอบของฟรี
ทำไมเวลาเราทำด้วยใจ แต่ไม่ได้เงินถึงยินดีที่จะทำ มากกว่าการจ้างให้ทำ
ทำไมเราชอบหลอกตัวเอง
ทำไมเราชอบซื้อของแพงทั้งที่มูลค่ามันไม่ได้ขนาดนั้น
ทำไมสิ่งดีดี เช่นการสร้างวินัยทางการเงินในบัตรเครดิต ธนาคารถึงไม่ชอบให้คนทำ(แน่นอนธนาคารเสียผลประโยชน์ ใครจะโง่ให้สร้างวินัย ธนาคารจะเอากำไรจากไหน)
หนังสือนี้ทำลายความเชื่อหลายๆอย่างของเราเลย
แถมบอกวิธีการแก้ไข คือหลักพระพุทธศาสนาแท้ๆ
คือมีสติ รู้ทันตัวเอง
แนะนำครับ
ผมอ่านแล้ว แต่ละหน้าเหมือนโดนหนังสือต่อย โดนทุกจุดข้อเสียของเรา



วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ความไร้เหตุผลของคนเรา พฤติกรรมพยากรณ์

นั่งอ่านหนังสือพฤติกรรมพยากรณ์ ที่ศาสตราจารย์ MIT เขียน เกี่ยวกับความไร้เหตุผลของคนเรา(รวมทั้งผมด้วย) เป็นหนังสือที่ชอบมากในรอบหลายปี
มีบทนึง เกี่ยวกับ ความไร้เหตุผลของคนเรา เมื่อเจอของฟรี
มีงานวิจัยทดลองอันนึง เกี่ยวกับชอคโกแลต ยี่ห้อ Lindt และ hershey
มีคนขาย Lindt ในราคา 10 บาท และ hershey ในราคา 2 บาท
คนอเมริกาเลือกซื้อ Lindt ุ67% ทั้งที่แพงกว่า เพราะอร่อยกว่าในความคิดของเค้า
แต่เค้ามาทดลองใหม่ ลดราคา Lindt เหลือ 8 บาท
และ Hershey เหลือ 0 บาท
ผลที่ออกมาคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่า Hershey ขายดีกว่า Lindt เพราะมันมีค่าแค่ 0 แจกฟรี
ทั้งๆที่ ลดราคา 2 บาทเท่ากัน
คนเราส่วนใหญ่ชอบของฟรี(แน่นอนซึ่งรวมผมด้วย) ทั้งที่ไม่ชอบ หรือได้ของฟรีมาแล้วไม่รู้จะเอาไปทำไม
ขาดการไตร่ตรองอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อเราในอนาคตก็ได้
บางคนได้มาแล้วก็เอาไปทิ้ง(ผมก็เป็นบ่อยๆ)
นักวิจัยเรื่องนี้เลยบอกว่าถ้าอยากให้คนอื่นบอกความลับตัวเองได้
ต้องแจกฟรี อะไรก็ได้ให้เนียนๆ เล่นกับความเชื่อ
หันมามองโพสในเฟส
หมอดูออนไลน์โพสว่าดูดวงว่าจะรวยจากรหัส ATM ไหม (ทั้งที่ไม่ได้บอกว่าดูฟรี)
มีคนไป comment บอกเลขรหัส ATM เยอะมาก
อ่านหนังสือจบ เจอ case study ทันที
นี่คือความไร้เหตุผลของมนุษย์ที่คาดการณ์ได้อย่างในหนังสือว่า
ถ้าสมมติผมเป็นโจรออนไลน์นะ
ผมจะตั้งตัว มโนตัวเองให้เป็นหมอดูที่แม่นที่สุดเลย หาหน้าม้าเยอะๆมาคอย comment อวย
เสร็จปุ๊บ จะบอกดูดวงด้วยรหัสบัตรเครดิตฟรี comment กันมาเลย
ถ้าอยากจะแม่น ขอเบอร์โทรด้วย
อยากจะให้แม่น 100% ขอรหัส CVV ตามอีกที
เอาไปซื้อของออนไลน์ที่เค้าไม่ใช้ OTP
สบายเลย
โดนหมอดูหลอกเพราะว่าดูดวงฟรีแท้ๆ ที่เราพิสูจน์ไม่ได้เลยว่าดูดวงแม่นจริงๆรึ
เชื่อไหมว่ามีคนหลงเชื่อแน่นอน ดูจากโพสที่ผมแชร์เมื่อกี้
ไม่งั้นแชร์ลูกโซ่ ขนาดไม่ฟรี ยังมีคนเชื่อเลย
ถ้าจะหลอกล่อผมจริงๆ ต้องให้สาว cupE มาเดทกับผมฟรีๆๆ
ผมยอมแน่นอน 5555555555555



วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เมื่อ Jim Rogers ให้ความเห็นเกี่ยวกับทองคำ

นั่งอ่านเพจเรื่องราคาทองคำ เจอ Jim Rogers ผู้ที่เซียนตลาดโภคภัณฑ์ ให้ความเห็นน่าสนใจ วันที่ 24 กค 2561 ที่ผ่านมา
เลยลองแปล
--------------------------------------------------------------------
I own gold. I haven't bought any serious gold in a long time because I expect another opportunity to buy gold under $1,000 USD per ounce.
ผมเป็นเจ้าของทองคำ ผมไม่ได้ซื้อทองคำเพื่อระยะยาว เพราะผมคาดว่าทองคำมีโอกาที่จะต่ำกว่า 1000 USD ต่อออนซ์
(ตอนที่เค้าเขียนทองอยู่ประมาณ 1230 USD ต่อออนซ์ และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาลงไปต่ำสุดที่ 1160 USD แสดงว่า Jim คาดว่าจะลงได้ถูกต้อง)
If that happens, I hope I'm smart enough to buy a lot of gold because before this is over gold is going to skyrocket. Throughout history when people lose confidence in economies, governments or currencies they have always bought gold and silver.
ถ้าทองลงไปต่ำกว่า 1000 USD ผมหวังว่าจะซื้อทองคำให้เยอะมากที่สุด เพราะกว่าก่อนวิกฤตจะมาถึง ราคาทองคำจะพุ่งจรวด
ตามประวัติศาสตร์ เมื่อผู้คนสูญเสียความมั่นใจในเศรษฐกิจ รัฐบาลหรือเงินตรากระดาษ พวกเขาจะซื้อทองคำและเงิน
--------------------------------------------------------------
ถ้าให้วิเคราะห์ทองคำมีโอกาสลงไปต่ำกว่า 1000 USD อาจจะไป 800-900 USD ต่ออนซ์ได้ตลอดเวลา
ดังนั้นเราควรถือเงินสดไว้เตรียมพร้อมบ้าง
แต่ใครจะรู้อนาคต เค้าอาจจะขู่ไปยังนั้น ตอนนี้เค้าอาจจะเริ่มเก็บทองคำไว้เยอะแล้วก็ได้
ทองคำอาจจะพุ่งไปดลยก็ได้ ความน่าจะเป็นในการขึ้นหรือลงเท่ากัน
แต่ไม่ได้หมายถึงว่าทองคำไทยจะลงไป 14-5000 บาทนะ เพราะว่าทองไทยต้องแปลงมาเป็นเงินบาท ต่อ 15.2 กรัม (1 ออนซ์มีประมาณ 23 กรัม แล้วไปคูณกับค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์อีกที)
แต่ถ้าอ่านประโยคสุดท้าย เค้าเตือนว่าวิกฤตการเงินในอนาคตมาแน่ๆ อาจจะไวไวนี้ก็ได้
ไม่มีใครรู้
อยากดูผลกระทบ ก็ลองดูเวเนซุเอล่า ไข่ไก่ 1 ใบ ใช้เงิน 1 ล้านไปซื้อ
ทองคำตอนนี้ 1 บาท ใช้เงิน 100 ล้าน
โหดสาดสาด


เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...