วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทั้งโลก สินทรัพย์ไหนจะปลอดภัยต่อเงินเฟ้อมากที่สุด โดยมองผ่านเวเนซูเอล่า.......

ตอนนี้เรามักจะได้ยินเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี เงินฝืดกันมากผิดปรกติ ถ้าได้สังเกตตามร้านค้า ชาวบ้านทั่วประเทศ
มีหลายๆคนบ่นเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ข้าวของแพง แต่หาเงินแต่ละบาทยากเหลือเกิน
เงินหมื่น ใช้แปบเดียววันเดียวก็หมด แต่จะหากำไรเงินหมื่นใช้เวลาเป็นเดือนสองเดือน
พ่อค้าแม่ค้า คนทำธุรกิจเล็กๆถึงกลาง จะรู้สึกว่าเงินหายากจริงๆ
ที่จริงถ้ามองเป็นกลางๆ สาเหตุคือ โลกเปลี่ยนไป คนอยากเป็นนายตัวเองมากขึ้นเลยกระโดดเข้ามาในวงการค้าขาย
บวกกับโลกที่เปลี่ยนไปมากขึ้น ต่างชาติสามารถมาค้าขายในไทยได้มากขึ้น
เหมือนมีเค้กอยู่ก้อนนึง มีคนมาแย่งกินเค้กกันมากขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งแต่ละคนน้อยลง

ช่วงนี้ทำให้มีข่าวคราวเรื่องจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในไทย ออกมาเต็มเฟส เต็ม line กันไปหมด 
ผมเลยสงสัยว่าถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สินทรัพย์อันไหนจะทำให้เราปลอดภัยมากที่สุด
มาค้นข้อมูลของเวเนซูเอล่า ตอนนี้เป็น case study อย่างดีเลยครับ
อย่างที่รู้ๆกันตอนนี้เวเนซูเอล่า เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประเทศเรื่องเงินเฟ้อแบบรุนแรง หรือเรียกว่า hyperinflation และเงินฝืดผสมปนเป
เราจะไม่พูดถึงสาเหตุที่เกิด เพราะมีหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ วิเคราะห์อันไหนก็ถูกหมด เพราะปัจจัยเป็นร้อยมารวมกันก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ตอนนี้ คนเวเนซูเอล่าทำงานได้เงินเดือน 1 ล้านโบลิวาร์ แต่ไข่ไก่ 6 ฟอง ราคา 1.5 ล้านโบลิวาร์
เท่ากับว่าทำงาน 1 เดือน ซื้อไข่ไก่ ได้ 9 ฟอง
โหดร้ายมากๆครับ

ถ้าสมมติว่าเกิดเงินเฟ้อแบบนี้ในประเทศไทย เราจะทำอย่างไรกันดี ไม่มีใครตอบได้ว่าจะเป็นแบบเวเนซูเอล่าไหม
บางคนบอกว่าไม่มีทางเพราะเศรษฐกิจกับปัจจัยของไทยคนละอย่าง แต่บางคนบอกว่ามีโอกาสเพราะตอนนี้โลกเรามีสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน
ถ้าไทยตามไม่ทันโดนลูกหลง โลกเปลี่ยนไปไวปรับไม่ทัน ก็อาจะจะเกิดโศกนาฎกรรมแบบเวเนซูเอล่า 

เราไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ แค่เราสามารถวางแผนเตรียมรับมือได้ในอนาคต ถ้ามันเกิด
สินทรัพย์อะไรละที่จะปกป้องเราให้พ้นจากเงินเฟ้อแบบรุนแรงในตอนนั้นได้

ที่ดิน???? 
ตอนนี้คนเวเนซูเอล่ากำลังจะย้ายออกนอกประเทศเพราะค้าขายไม่ดี เงินเฟ้อรุนแรงอย่างมาก
ถึงตอนนั้น เรามีที่ดินอยากจะขายเพื่อเอาเงินไปกินใช้เพื่อประทังชีวิต แต่ตอนนั้นเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไม่มีมีใครอยากซื้อที่ดิน
เพราะซื้อไปแล้ว จะทำธุรกิจอะไรได้
ถ้าจะขายก็นอกจากนายทุนมาซื้อ แต่ถึงตอนนั้น นายทุนจะกดราคาให้ต่ำที่สุดเพื่อให้ได้ของดีที่สุด
เอาตรงๆ ถ้าเราเป็นนายทุนเราก็ต้องกดราคาเพราะจังหวะมันได้ ใครอยากจะซื้อของแพง จริงไหมครับ
โลกเรามันโหดร้ายแบบนี้แหละครับ

ทองคำ?????
ตอนเศรษฐกิจพอไปได้ ปี 2007-2017 ราคาทองคำในเวเนซูเอล่า จะอยู่ที่ราคา 7600-14000 โบลิวาร์ต่อ ทองคำ 1 ออนซ์ ราคาไม่ค่อยไปไหนหลายๆปี
แต่พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2018 ราคาทองคำวิ่งกระฉูดไป ที่ 101 ล้านนนนนนโบลิวาร์
ที่จริงทองคำไม่ได้มีกำไรขนาดนั้น แต่ทองคำคือตัวปกป้องเงินเฟ้อได้ดีที่สุด เพราะของกินของใช้ ค่าครองชีพ เพิ่มมากขึ้นตามเงินเฟ้อ
ทองคำก็วิ่งไปปกป้องเพื่อคานอำนาจกันกับเงินเฟ้อ
ถึงตอนนั้นถ้าเรามีทองคำกับที่ดิน ถ้าจะขายให้ได้ราคาดี เราขายทองคำง่ายกว่าถ้าเราจำเป็นต้องเอาเงินมากินมาใช้
ทองคำมีราคาตามตลาดโลก มีความต้องการสูง ขายได้ทุกวันตามราคากลางของแต่ละประเทศที่ผูกกับตลาดโลก
เราทยอยขายที่ละบาทหรืออนซ์ ไม่ต้องขายหมดก็ได้ เผื่อเงินเฟ้อยังเฟ้อไม่หยุด ทองคำก็วิ่งไปที่ราคาสูงต่อได้อีก ตามรูปข้างล่าง



ตลาดหุ้น?????
ตอนเกิดวิกฤตเวเนซูเอล่าที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ปี 2016-2017 ตลาดหุ้นยังสามารถทำจุดสูงสุดได้ต่อเนื่อง 
ยังไม่ตกมารุนแรง
แต่พอเมื่อราคาขึ้นไปจุดสูงสุดที่ดัชนีตลาดหุ้นเวเนซูเอล่า 120,000 จุด เมื่อกลางปี 2017
หลังจากนั้นก็ตกมาแบบรุนแรง เหลือ 300 กว่าจุด ตกแบบโลกจะแตก ไม่กี่วันแบบเปิด GAP เลยครับ
โหดร้ายจริงๆ ดังรูปข้างล่าง
ถามว่าตอนนั้นมีใครรู้ไหม ว่าจะเกิดแบบนี้ ผมว่าต้องมีคนรู้เยอะและตอนนั้นก็กลัวตลาดหุ้น
คำถามว่าเงินเฟ้อเริ่มพุ่งเศรษฐกิจเริ่มแย่มากๆตั้งแต่กลางปี 2016 แล้วทำไมหุ้นยังขึ้นละ
ถ้าคำนึงถึงผลประโยชน์ ตอนนั้นใครๆในเวเนซูเอล่า ก็รู้ว่าต้องตก แต่ทุนใหญ่จะขายหุ้นใครละ
ก็ต้องล่อเม่าไปซื้อของที่ทุนใหญ่มีก่อนดีกว่าไหม? เค้าจะได้ปลอดภัย
เราทุกคนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว



จากข้อความข้างบน จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ที่ปกป้องเงินเฟ้อตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่น่าสนใจที่สุด น่าจะเป็นอันไหนนะครับ

ถ้าเราเป็นทุนใหญ่มันง่ายมากเลย ที่จะวางแผนหลายๆสินทรัพย์เพื่อป้องกันเงินตัวเอง
แต่น่าเสียดายเราเป็นทุนเล็กๆในวัฏจักรของโลกเมือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาที่ไร 
เราไม่ใช่เทวดาหรือผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ดังนั้นเราจะโดนผลกระทบก่อนคนแรกๆ 
เราต้องวางแผนให้ดีดี เพื่อครอบครัวและคนที่อยู่ข้างหลังเราในอนาคต

เสริมอีกนิดนะครับ แชร์ประสบการณ์การลงทุนของตัวเองนะครับ

ส่วนตัวผมทำธุรกิจค้าปลีกเฟร์นิเจอร์และครอบครัวที่บ้านทำร้านทองเล็กๆๆในเมืองเล็กๆ
ประสบการณ์การลงทุนของผม ก็มีตั้งแต่ ซื้อขายที่ดิน ให้เช่าที่ดิน บริหารการลงทุนทองแท่งให้ที่บ้าน
ลงทุนหุ้นในเมื่อปี 2010 ดีบ้างเสียบ้าง เพราะเมื่อก่อนเรามีอีโก้ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะ 
ปีที่แล้วก็ลองเทรด Forex ก็กำไรพอได้
ลงทุนแบบพอเพียงนะครับ เน้นจำกัดความเสี่ยง ลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
เนื่องจากผมค้าขายเล็กๆ ทุกวันจะพบเจอคนหลากหลาย 
ปีสองปีหลังนี่เจอแบบ มีคนเดือดร้อนเรื่องเงินมาก เอาที่มาจำนองกับผม
แต่ผมไม่ค่อยรับเพราะเมื่อก่อนรับแล้วมีแต่ปัญหาเราเป็นคนใจอ่อน เสียเปรียบตลอด

ส่วนใหญ่ปัญหาเดิมๆของคนที่เดือดร้อนตอนนี้คือ ไม่เตรียมตัวตอนวัยหนุ่มสาว คิดว่าเราเก่งอะไรก็ดีเหมือนเดิม
คิดว่าเก็บเงินไรหนักหนาไม่รู้ตายวันตายพรุ่ง แต่ถ้าเราไม่ตายไม่มีเงินนี้โลกโหดร้ายแน่ๆ
ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงในอนาคตที่เราไม่สามารถรู้ได้
สิ่งที่ดีในอดีต ไม่ได้การันตีอนาคตว่าจะเหมือนเดิม
เดี๋ยวก็ขายดีเหมือนเดิม เดี๋ยวก็ได้เงินเหมือนเดิม เดี๋ยวก็มีงานทำเหมือนเดิม เลยประมาทไม่เตรียมพร้อม
เพราะคำว่าเหมือนเดิม เจอเหตุการณ์สะเทือนใจเรื่องเงินหลากหลายมากเลยครับ
เจอแบบอายุ 40-60 ปี ในช่วงปีสองปี เพราะเศรษฐกิจการค้าตกต่ำลง
เจอคนอายุ 30-35 ปีกู้เงินธนาคาร 10-30 ล้านภายในปีสองปีก็ไปไม่ไหว
ทุกวันนี้ได้แต่ปลงและคอยเตือนคนรู้จักรุ่นใหม่ๆไม่ให้ประมาทกับความเสี่ยงครับ
โหดจริงๆนะครับ ถ้าตอนอายุเยอะเราไม่มีเงิน

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เราถูกสอนมาผิดๆหรือไม่

เราถูกสอนระบบทุนนิยมมาตั้งแต่เกิด ว่าดีที่สุด โดยฝรั่งเอาความคิดนี้มาเผยแผ่ทั้งๆที่มันหลอกเรา ดูอย่าง warren buffet และ เจ้าของ amazon ใช้ชีวิตโคตรพอเพียงเมื่อเทียบกับรายได้และกำไรเค้า
ระบบนี้ สอนให้เค้ารีบกินรีบใช้ เพื่อให้เกิดผลผลิต (productivity) บริโภคกันเยอะๆ เศรษฐกิจจะได้หมุนเวียน
ช่วงแรกๆมันจะดีเพราะประชากรโลกเติบโตขึ้นเยอะ การกินใช้มากขึ้น
แตหลังจากนี้หลายๆประเทศประชากรเริ่มเกิดน้อยลง
มันจะเหมือนเดิมไหมก็น่าคิด
เหมือนฝรั่งจะใช้ระบบทุนนิยม มาเป็นมหาเวทย์ดูดดาวของนิยายกระบี่เย้ยยุทธจักร ดูดเงินทุกคนมาใช้หนี้แทนมัน
ถ้าได้ลองเทรด Forex จะเห็นเลย ว่าเค้าเล่นเกมนี้กันยังไง
โหดสาดสาดเลยละ
ประเทศไหนไม่ทันเกมก็จนลงๆจนลง เช่นเวเนซุเอล่า อาร์เจนติน่า กรีซ กำลังตามมาด้วยตุรกี
เงินเดือนเวเนซุเอล่า 1 ล้านต่อคน แต่ไข่ไก่ 6 ฟองราคา 1.5 ล้าน
แต่ที่โหดร้ายกว่าเดิม เราถูกสอนให้มีความคิดประชาธิปไตยเต็มใบ คนไม่ทำงานก็มีสิทธิ์ออกเสียงเท่ากัน
ทำไมจีนถึงไปไวกว่าอเมริกาเพราะเค้าคุมสิ่งที่ควรจะคุม ประชากรเค้าเยอะ เค้าคุมเฉพาะการเมืองและกฎ แต่การค้าจีนรู้ดีกว่าให้อิสระการค้ากับคนจีน แถมสนับสนุนด้วยเพื่อไปตีเมืองขึ้น แต่ถ้าคนมีเสรีภาพมากเกินไปจะเกิดกรณีที่คนเรามีอีโก้คิดวาตัวเองถูก ใครทำอะไรไม่ถูกใจก็รวมหัวกันลุกหือ ทั้งๆที่ต้องดูกฎว่าถูกหรือไหม แต่ถ้สเศรษฐกิจดี คนจีนรวยขึ้น เค้าจะไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เพราะเค้าอยู่รอดแบบสบายๆ
สุดท้ายแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก เพราะเป็นสัจธรรม ก็หาทางรอดเตรียมรับมือระเบิดลูกแรกกันดีกว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไร แต่เกิดแน่ๆ
ถ้าให้เปรียบเทียบ เหมือนเราไปกู้แบงค์ 10 ล้านบาทมาขายของแต่ขายของขาดทุนทุกเดือนแต่ขาดทุนน้อยหน่อย ก็กว่าจะล้มก็อีกนาน อาจจะเป็น 10-15 ปี
ขาดทุนมากหน่อย ก็ไปไวหน่อย
แต่ถ้าทำแล้วมีกำไร ก็ไม่ล้ม อยู่รอดสบายๆ
แต่ปัญหาที่สำคัญคือปัจจัยภายนอกที่มารุมเราตอนนี้มันเยอะมากเหลือเกิน และเราคุมไม่ได้ด้วยซ้ำ ความเสี่ยงมันมากขึ้นเหลือเกินในโลกตอนนี้และตลอดไป

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เลือกลงทุนหุ้นอย่างไรในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

คำว่า ดอกเบี้ย หลายๆคนที่ได้ยินจะรู้สึกแตกต่างกัน บางคนได้ยินแล้วชอบ รักดอกเบี้ย เพราะเป็นฝ่ายให้กู้ เช่น ธนาคาร หรือนายทุน
แต่ส่วนใหญ่ฟังแล้วรู้สึกตัวร้อน เครียด เบื้ออาหาร ป่วยง่าย ไม่ชอบคำว่าดอกเบี้ย เพราะเป็นฝ่ายฝั่ง ผู้กู้ เช่นคนส่วนใหญ่กู้เงินซื้อรถซื้อบ้าน
ดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จะขึ้นๆลงๆตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ
ตามหลักเศรษฐศาสตร์เราร่ำเรียนกันมา เศรษฐกิจและเงินเฟ้อต้องอยู่ระดับพอดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป
เศรษฐกิจไม่ดีเงินฝืด ก็ต้องหาทางลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง เพื่อดึงดูดผู้กู้ให้มากู้เงิน นำไปลงทุนเกิดการจ้างงาน และมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจโตมากขึ้น แก้ปัญหาเงินฝืด
ในทางกลับกันเศรษฐกิจโตไวเกินไป เกินควบคุม ธนาคารกลางจะต้องลดความเร่งในการเติบโตเศรษฐกิจโดยการขึ้นดอกเบี้ย 
เมื่อดอกเบี้ยมากขึ้น ทำให้ผู้กู้คิดหนักก่อนจะกู้ เพราะดอกเบี้ยมากขึ้น มีผลทำให้จำนวนผู้กู้ลดลง ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล
ณ วันนี้ อเมริกาเริ่มเพิ่มดอกเบี้ย เพราะนโยบายที่ผ่านมา เริ่มแก้ปัญหาการจ้างงานของอเมริกาได้ดีขึ้น คนมีงานทำ เงินเฟ้อเริ่มโตตามเป้าหมาย
อเมริกาต้องควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป ให้ค่อยเป็นค่อยไปตามที่ควรจะเป็น โดยค่อยๆเพิ่มดอกเบี้ยไปทีละขั้น 
แล้วมันเกี่ยวยังไงกับดอกเบี้ยไทย
การเชื่อมโยงนโยบายการเงินของไทยกับนโยบายการเงินของโลกที่ดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น
ซึ่งจะส่งผลต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย เช่น หากอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยจนสูงกว่าไทย เงินทุนก็มีโอกาสไหลกลับไปที่สหรัฐฯ เพื่อไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
ฉะนั้นเมื่อดอกเบี้ยโลกเริ่มขาขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะพิจารณาเพิ่มดอกเบี้ยในไทยมาขึ้นด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆด้านก่อนทำการขึ้นดอกเบี้ย เช่น ผลกระทบเงินทุนไหลออก เศรษฐกิจไทยระดับรากหญ้าถึงระดับบน
ต้องชั่งน้ำหนักว่าข้อดีมากกว่าข้อเสียอะไรบ้าง 

แล้วถ้าดอกเบี้ยอเมริกาขึ้นมากขึ้นละ แต่ดอกเบี้ยในไทยยังคงที่ จะมีผลกระทบกับบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังไง
แน่นอน ถ้าบริษัทในตลาดหุ้นไทย กู้เงินต่างประเทศไปลงทุน ดอกเบี้ยส่วนใหญ่คิดตามอเมริกา เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น ต้นทุนก็สูงขึ้น
เมื่อรายได้เท่าเดิมแต่ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้กำไรลดลง

แต่ถ้าถ้าดอกเบี้ยอเมริกาขึ้นมากขึ้นละ และดอกเบี้ยในไทยเพิ่มขึ้นในอัตราความเร็วที่เท่ากัน (แนวโน้มในอนาคตจะเป็นแบบนั้น)
มีผลกระทบบริษัทในตลาดหุ้นไทย ที่กู้เงินในประเทศและต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สมมติกู้เงินมา 100 ล้านบาท ดอกเบี้ยเพิ่ม 1% จะทำให้ต้นทุนเพิ่มมากขึ้นอีก 1 ล้านบาท

แล้วเราจะลงทุนอย่างไรในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ 
1. ถ้าเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน หลักทรัพย์ หรือ ประกันภัย เราต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มี อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity, D/E) ต่ำ ไม่ควรเกิน 1.5-2 เพราะ หนี้สินต่อทุนต่ำ แสดงว่ากู้เงินมาไม่เยอะ
ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้หนี้สินจากดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นแต่ถ้าบริษัทบริหารต้นทุนดีดีอัตราส่วน D/E จะไม่สูงผิดมากจนผิดปกติ

ที่มาข้อมูล http://bidschart.com/financialList

2. วิเคราะห์งบการเงินและกำไรขาดทุน เลือก ลงทุนในบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอ มีปันผลทุกๆปีเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของราคามูลค่าหุ้น เมื่อเงินทุนไหลออกนอกไทยเพราะอเมริกาขึ้นดอกเบี้ย
3. และแน่นอนลงทุนให้กลุ่มธนาคารและเจ้าหนี้ที่ให้กู้ เช่นกลุ่มลิสซิ่ง ประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
เนื่องจากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อานิสงค์ตกมาที่ผู้ให้กู้หรือสินเชื่อจะทำให้มีรายได้มากขึ้น




แต่ถ้าอยากให้เงินต้นปลอดภัยแบบสุดยอดมากยิ่งขึ้น แบบไม่เอาความเสี่ยงจากการลงทุน
ลองแบ่งเงินส่วนนึง ซื้อสลากออมสิน หรือ ธกส ในอนาคต
เนื่องจากเราจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากในสลาก และได้การันตี เงินถูกสลากต่อเดือน
รวมทั้ง ลุ้นรางวัลที่ 1 สิบล้านขึ้นไปทุกๆเดือน โดยเงินต้นไม่หายอีกด้วยครับ
ถ้าฝาก 1 ล้าน ในสลาก ธกส จะได้เงินการันตีทุกๆเดือนไม่รวมดอกเบี้ยและรางวัลที่
จะได้ 990 บาท ต่อเดือน


วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เกมส์ PUBG ได้แง่คิดการทำธุรกิจและการเทรดหุ้น Forex


เล่นเกมส์ PUBG ได้แง่คิดการทำธุรกิจและการเทรดหุ้น Forex เป็นตุเป็นตะเลยแหะ

ปกติไม่เล่นเกมส์พวกนี้ รู้สึกไม่สนุก อ่านหนังสือสนุกกว่า
แต่พอเล่น PUBG แล้วติดงอมแงม ทั้งวัน เพราะว่างด้วย

เล่น PUBG แล้วนึกถึงการทำธุรกิจ ตอนเริ่มเกมส์ กางเกงในตัวเดียว เรามาตัวเปล่าบางทีก็มีแต่เสื้อผ้า ต้องไปตามเก็บอาวุธและเกราะป้องกันตัวเอง และอยู่ให้รอดเป็นคนสุดท้ายในเกมส์ ถึงจะชนะ

ก่อนเราจะไปเก็บหมวกกันกระสุน ปืน เกราะ เราต้องเลือกทำเลการโดดร่ม

เหมือนเราเริ่มทำธุรกิจแบบเงินทุนไม่เยอะ พ่อแม่มีฐานให้ไม่เยอะ หรือแทบไม่มี
เราเดินเข้าเกมส์ธุรกิจที่มีคนเยอะๆ ดุ่มๆแบบตัวเปล่าก็โดนยิงตา
โดนทุนใหญ่คนมีพร้อมทั้งเงินและประสบการณ์ รุมไม่กี่เดือนก็ล้ม หมดตัว

ถ้าเอาหลัก PubG มาทำธุรกิจ ตอนแรกเราต้องหาทำเล ไกลๆคน ผุ้เล่นยังไม่เยอะ เราไม่ต้องรีบฆ่าศัตรู ทยอยเก็บของ กระสุน เกราะกันบัง เก็บยารักษาโลกให้พร้อม
มันคือ การเก็บประสบการณ์และเงินทุน เพื่อเตรียมพร้อมในโลกธุรกิจและหุ้น Forex

พอเก็บของได้เยอะเราก็ทยอยไปไล่ฆ่าตามทำเลที่เราเชี่ยวชาญ
ทยอยหาเพื่อนมาร่วมทีม หรือ connection

พอเก็บปืนได้ ลูกซอง ก็ต้องพยายามหาไรเฟิลและเลนส์ซูม เพื่อซุ่มยิงแบบไม่เสี่ยง

คำนึงถึงความเสี่ยงในการโดนฆ่าตายหรือธุรกิจเจ๊ง และเทรดล้างพอร์ท เพราะชีวิตจริงถ้าที่บ้านไม่รวย ไม่มีเงินรองรับ โอกาสเริ่มใหม่โคตรยาก กว่าแต่ก่อน โดนทีเดียวร่วงจนโดนกลบฝังเลยละ

ไม่เหมือนคนที่พ่อแม่มีเงิน โดนยิงร่วง เค้าก็ยังมีกระสุนยิงต่อเรื่อยๆ

ค่อยๆเล่นค่อยๆเก็บศัตรู เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ
ในเกมส์ PUBG มีการบีบพื้นที่ตามเวลาด้วย ถ้าให้เปรียบการบีบพื้นที่คือ เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายเราและครอบครัว ในการทำธุรกิจ

เรามียารักษาโรคก็เหมือนเงินที่เราเก็บไว้ พอเราโดนยิงแต่เราไม่ตายก็เอามารักษาตัวเองก่อน ค่อยๆประคอง ไม่ต้องรีบ

อยู่ในนานที่สุด บางทีตอนเล่นผมก็ใช้หมัดเพียวๆฆ่าศัตรูที่มีปืนตาย
แต่ต้องจังหวะดีและโอกาสน้อยมาก
เหมือนเราทำธุรกิจทุนเล็กแต่ ไปทำให้ทุนใหญ่เพลี่ยงพล้ำได้โอกาสน้อยจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี

แต่ที่สำคัญคือ กระสุน คือเงินสด ปืนคือ การลงทุน จะยิงแต่ละนัดเราต้องแม่น ความแม่นคือประสบการณ์ connection คือเพื่อนร่วมทีมที่มาช่วยเรา ต้องพร้อมจริงๆในโลกการทำธุรกิจอละเทรดต่อไปนี้

เขียนซะยาาวเป็นตุเป็นตะ เลยแค่เล่นเกมส์ๆเดียว

แชมป์จนเบื่อ..5555




วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกการค้าที่โหดร้ายดุเดือด ที่เป็น Natural Selection คนแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด

วันก่อนมีคนทำธุรกิจยี่ปั๊วมาเล่าในโลกการค้าที่โหดร้ายดุเดือด(ที่จริงก็เป็นแบบนี้ 2-3 ปีละ) เป็น Natural Selection
คนแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด
เค้าเป็นเอเย่นขายส่งตามร้านค้าเล็กๆแห่งนึง ได้ออกรถกระบะไว้ 5 คัน และจ้างลูกน้องเกือบ 10 คน คอยจดออร์เดอร์ตามร้านเล็กๆในตำบลหมู่บ้านต่างๆในกำแพงเพชร
เค้ารับนมยี่ห้อหนึ่ง สมมติราคาลังละ 100 บาท แต่ราคานี้ต้องสั่งระดับ 5 แสนขึ้นไปต่อครั้ง ถ้าสั่ง stock น้อยกว่า 5 แสนราคาจะขึ้นไป 110-120 บาทต่อลัง
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องออกรถ ค่าน้ำมัน และค่าพนักงานมาส่ง มารับออร์เดอร์ ตกเฉลี่ย 10 บาท ต่อลัง
เค้าถึงขายส่งในราคา 125 บาทต่อลัง เพราะต้นทุนเค้าตก 110 บาท
ทำมาค้าขายดี ปีสองปีแรก พออยู่ได้ พอกินพอใช้แต่ยังไม่รวยเพราะลงทุนไปเยอะเหมือนกันในการสร้างโกดังเก็บของหลักเกือบสิบล้าน
มาปีนี้วันดีคืนดี ยี่ปั๊วจากจังหวัดข้างๆ มาขายในกำแพงด้วย โดยขายในราคา 100 บาท!!!!!!!!!
เพราะยี่ปั๊วรับ stock ที 10 ล้านบาท โรงงานกำหนดมา เลยได้ราคาส่งที่ประมาณ 80 บาท รวมค่าส่ง ค่ารถ ค่าน้ำมัน แล้วต้นทุนไม่เกิน 90 บาท
แล้วยี่ปั๊วกำแพงจะขายยังไง รับมาก็ 100 บาทแล้วยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ
แต่ยี่ปั๊วจังหวัดอื่นมาขายในกำแพง 100 บาท
ยี่ปั๊วกำแพงก็ขาดทุน..........
สาเหตุที่ยี่ปั๊วจังหวัดอื่นมาขายถูกเพราะนมมีวันหมดอายุ ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งเสื่อมราคา ประกอบกับรับยอดจากโรงงานมาเยอะ ไม่รีบขายเงินจม ถ้าเกิดมีอะไรทำให้หมุนไม่ทัน ก็พัง เศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ยอดขายไม่โต
เป็นผมก็ต้องทำ ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอด
จะไปฟ้องโรงงานว่าขายข้ามเขต โรงงานก็ตีมึน เพราะคุณซื้อแค่ 5 แสน อีกเจ้าหลักสิบล้าน เงินมันต่างกันเห็นๆ
อีกอย่างยี่ปั๊วเจ้าอื่นทำมายี่สิบปี ยี่ปั๊วเพิ่งมาทำไม่กี่ปี
ยี่ปั๊วกำแพงเลยเลิกขายนม รีบกลับตัวไปหาสินค้าอื่นมาขายแทน
เพราะทำไปมีแต่ขาดทุน กรีดเลือดตัวเอง นานๆไปจะแย่เพราะเงินจะขาดมือ
เค้าเก่งพลิกแพลง ไม่สู้ต่อเพราะเงินทุนถ้าเทียบกับคนอื่นที่เค้ามีเงินหนามานาน ถ้าสู้ด้วยราคามีแต่แพ้
จะแพ้ช้าหรือเร็ว ยังไงก็แพ้
หาอย่างอื่นทำดีกว่า
เราต้องดูหน้าตักในมือเรา ทุน ประสบการณ์ ฐานลูกค้าเราจะพอไปสู้กับเค้าไหม
ถ้าสู้ได้ก็สู้ แต่ต้องไม่ขาดทุน
ถ้าสู้ไม่ได้ให้รีบหนี ไปตั้งหลักหาทางอื่นสู้ดีกว่า ทู่ซี้ไปก็เหนื่อย
เราสามารถกำหนดเกมส์เล่นได้
ถ้าเรามีทุน
แต่ถ้าเราไม่มีทุน จะเล่นเกมส์แบบไหน เราก็เลือกไม่ได้
นี่แหละโลกของทุนนิยม
สายป่านใครยาวได้เปรียบ
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเกมส์นี้ได้ทุกคน
คิดแล้วก็ปวดหัว เล่นเกมส์ PUBG และหนีไปนอนนดีกว่า.........
สบายจริงๆ ตอนนี้ ทำได้แค่รอ ดิ้นไปก็เจ็บตัวกินทุนตอนนี้
เมืองกำแพงเล็กจริงๆ ขนาดห้างใหม่ยังร้องและคนเช่าเริ่มทยอยออกไปละ แต่เค้าไม่เดือดร้อนหรอก เพราะกำไรทั่วประเทศเค้ายังมากอยู่
รอจังหวะ....

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

IRC และ HFT คุยกันเรื่องยาง กำไรและผลตอบแทน

ส่วนตัวสนใจหุ้นยาง HFT และ IRC วันนี้เลยมาลองเสนอการเปรียบระหว่างสองตัวนี้กันเนื่องจากอุตสาหกรรมเดียว
เรื่มต้นเรามาดูว่าแต่ละบริษัททำอะไรบ้าง และงบการเงินของสองบริษัทเป็นอย่างไร ข้อจำกัดในยอดขายอนาคตมีอะไรบ้างกันดีกว่าครับ
ขอขอบคุณ ที่มาของข้อมูล https://www.jitta.com และ https://www.finnomena.com/stock/ 





วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกเปลี่ยนแปลงไปทางในที่โหดร้ายขนาดนี้จะลงทุนยังไงในโลก 4.0 ใบนี้ในอนาคต ตอนที่สอง ลงทุนแบบพอเพียง ในหุ้น ที่ดิน ทองคำ

ต่อจากเมื่อวานที่ผมเขียนบทความ โลกเปลี่ยนแปลงไปทางในที่โหดร้ายขนาดนี้จะลงทุนยังไงในโลก 4.0 ใบนี้ในอนาคต ตาม Link https://bit.ly/2I8cBw6
เรามาขยายความการลงทุนใน หุ้น ทองคำ ที่ดิน ในโลก 4.0 กันต่อนะครับ
ผลตอบแทนระหว่าง หุ้น ทองคำ ที่ดิน ผมได้เขียนบทความไว้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ตาม Link https://bit.ly/2K3OAGP
สรุปคือ ผลตอบแทนของหุ้น ทองคำ ที่ดิน อันไหนดีกว่าต้องดูที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เวลาตลอดไป 
บางช่วงเวลาทองจะดีกว่าอย่างอื่นเช่น ปี 2007-2011 ถ้าซื้อทองตอนปี 2007 แล้วขายตอน ปี 2011 กำไรจะมากกว่าหุ้น ณ ช่วงเวลาเดียวกัน แต่หลังปี 2009 จนวันนี้ ทองคำผลตอบแทนแย่กว่าหุ้นมาก
ผลตอบแทนของราคาที่ดินวัดยากมากกว่า เพราะราคาที่ดินขึ้นอยู่กับผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคาที่รับได้ทั้งสองฝ่าย และมีปัจจัยที่กำหนดราคาที่ดิน คือ อยู่ตรงจังหวัดไหน คนมีกำลังซื้อไหม 
เป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเยอะไหม มีแหล่งท่องเที่ยวไหม ที่ดินติดถนนไหม เป็นต้น

ถ้าเราเก็บเงินได้พอสมควรจากการทำงานหรือธุรกิจส่วนตัว แล้วเรามาประเมินตัวเองรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยและเงินทุนน้อย ก็ออมในทอง
ถ้าอยากสบายใจ มีทองเก็บไว้ก็ทยอยซื้อทองแท่งเก็บไว้ ทีละ 1 บาท หรือ 5-10 บาทแล้วแต่เงินทุนเรา 
ถ้าอยากเอาไว้ใส่ด้วยก็ซื้อทองรูปพรรณ แต่ต้องทำใจเวลาขายคืนร้านทองจะโดนหักเยอะกว่าทองแท่ง แถมเวลาซื้อก็แพงกว่าทองแท่งเพราะมีค่ากำเหน็ด
แต่ถ้าเราไม่มีเงินก้อนซื้อทอง เราก็หาร้านทองหรือบริษัททอง ที่มั่นคง เปิดมา 20-50 ปี ทำการออมทอง ส่งเดือนละ 1000 ขึ้นไป
พอครบกำหนดก็เอาทองแท่งออกมาเก็บไว้ที่บ้านได้ แต่ต้องรับความเสี่ยงอาจจะเกิดการร้านทองหรือบริษัทล้ม สูญหมดเลย.......นะครับ

ข้อดีของการลงทุนในทองคือ สภาพคล่องสูง
เวลาเราต้องใช้เงินด่วน เวลาป่วย เราสามารถแบ่งทองไปขายได้หรือจำนำ เอาเงินที่เราใช้จำเป็น และพอมีเงินก็กลับมาซื้อทองต่อได้
ไม่เหมือนที่ดิน ถ้าเราซื้อมา เราต้องขายทั้งผืนหรือแบ่งขาย จะมีระยะเวลาที่ขายนานกว่าทอง บางทีประกาศขายที่ 2 ปียังไม่มีคนสนใจถ้าที่ดินไม่สวย ทำเลไม่ดี
สมมติเราเดือดร้อนเงินไม่เยอะ ใช้เงินไม่นาน เราก็ไม่อยากขายทั้งผืนที่ดิน เราก็ต้องยอมจำใจขายทั้งผืน  เราก็ต้องรอมีคนมาซื้อ
ทองใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ขายได้เลย
อีกอย่างถ้าเราเก็บทองไปเรื่อยๆ สมมติเราจะแต่งงาน เราก็มีสินสอดเป็นทองคำ เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกด้วย 555
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายพันปี เป็นทรัพย์สินที่ปกป้องการด้อยค่าของเงินได้ดีเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
เวลาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ไร ทองคำมีแต่พุ่งเอาๆ พอๆกับเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าเงินของเราที่ลงไปในทองไม่เสื่อมค่า
เมื่อก่อนรุ่นอาม่าผม ทองคำบาทละ 400 ในตอนนั้นข้าวจานละบาท
ตอนนี้ทองคำจะ 20000 บาท ข้าวจานละ 50 บาท จะเห็นได้ว่าเงินเฟ้อไม่สามารถทำอะไรทองคำได้ ทองคำปกป้องการด้อยค่าของเงินจากเงินเฟ้อได้จริงๆ
หันกลับมามองที่ดินในการลงทุน ข้อดีของที่ดินที่ผ่านมา คือมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น
แต่!!!!!!!!!!! ต่อไปนี้ความเชื่อที่ว่าที่ดินมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้นจะใช้ได้ไหมในโลก 4.0 ต่อไปนี้
เพราะไทยเราเป็นสังคมผู้สูงอายุภายใน 10 ปีนี้ ในเมื่อคนเกิดน้อย ความต้องการที่อยู่อาศัยก็ต้องน้อยกว่าเดิม เหมือนเช่นญี่ปุ่น 
ราคาบ้านที่ญี่ปุ่นเนื่องจากคนเกิดน้อย ลดลงมาตั้งแต่ปี 2000 อนาคตไทยเรากำลังเดินตามญี่ปุ่นในเรื่องคนเกิดน้อยและสังคมผู้สูงอายุ
ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าราคาบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์จะไม่ร่วงลงมาเหมือนญี่ปุ่น 
แต่ที่แน่ๆ ถ้าอยากจะลงทุนในที่ดิน ควรจะลงทุนในเมืองท่องเที่ยวมากกว่าเมืองเล็กๆ แต่ข้อเสียคือราคาจะสูงเกินไปเกินกำลังเรา
ถ้าเรายิ่งกู้อีก ความเสี่ยงในการลงทุนก็เพิ่มมากขึ้นถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแบบปี 2540
พูดแล้วขนลุกเลยครับ ขออย่าให้เกิดเลยครับ สาธุ


ถ้าเรายังหนุ่มยังแน่นมีแรงมีกำลัง มีไฟ รับความเสี่ยงได้มาก เราก็ลองมาพิจารณาลงทุนในหุ้น
หุ้นข้อดีเหมือนทองคำหรือ สภาพคล่องสูง ทยอยซื้อตามเงินที่เรามีได้
มีข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเราลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี เราก็จะได้เงินปันผลเพิ่มเติม ตรงนี้ดีกว่าทองคำไม่มีเงินปันผล
หุ้นบางตัวพื้นฐานดีมาก ลงทุนระยะยาว 10-20 ปี ได้เงินปันผลพร้อมกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาเหมือนทองคำเลยครับ
เช่นหุ้น PTT, SCC, CPF ที่ 10-20 ปีที่แล้วราคาไม่กี่บาท ตอนนี้พุ่งเกิน 300% ทุกตัว
เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องประเมินตัวเอง เรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ความเสี่ยงของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนรับได้มากบางคนรับได้น้อย
เพราะต่อไปนี้ความเสี่ยงในโลก 4.0 จะเพิ่มมากขึ้น อะไรๆที่ผ่านมาทำแล้วดี ต่อไปนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ เทคโนโลยีทำให้เปลี่ยนไปไว
การแข่งขันในโลก 4.0 มากยิ่งขึ้น ผู้แพ้ในโลกระบบทุนนิยมก็โดนกำจัดออกตามธรรมดาของโลกมนุษย์ที่เรียกว่า Natural Selection ผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอด
ทางเลือกที่น่าสนใจคือการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้น ทองคำ ที่ดิน พร้อมๆกัน(ถ้าพอมีกำลังเงินมาก)
ถ้ากำลังทรัพย์ลดลงก็เลือก หุ้นกับทองคำก่อน หรือ ตัวใดตัวนึงก่อนก็ได้ครับ แล้วแต่เรา

เราไม่ต้องมองหรือสนใจใครจะรวยร้อยล้านพันล้าน บางคนเค้าเก่งมากไม่หยุดพัฒนาตัวเอง จังหวะโอกาสได้เค้าก็ทำร้อยล้านพันล้านได้
เรามีแค่ 1-10 ล้านและมีรายได้เรื่อยๆจากการลงทุนตลอดเวลา เราก็มีความสุขได้
ความสุขของเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์สอนเราหลายสิบปี

เราแค่พัฒนาตัวเองตลอดเวลา อดออมประหยัดคำนึงถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเสมอ
เลือกลงทุนให้เหมาะกับเรา ให้เราอยู่ในโลก 4.0 ใบนี้ได้อย่างมีความสุข

ขอให้พระคุ้มครองทุกท่านลงทุนแล้วมีกำไรตลอดทุกท่านนะครับ

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกเปลี่ยนแปลงไปทางในที่โหดร้ายขนาดนี้จะลงทุนยังไงในโลก 4.0 ใบนี้ในอนาคต

ได้อ่านข่าวในช่วงเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยไปเป็นโลก 4.0 ช่วงนี้กันไหมครับ มีแต่เรื่องที่สะเทือนขวัญแก่คนทำงานกินเงินเดือนและเจ้าของธุรกิจ SMEs มากๆ

เมื่อวาน กฟผ ประกาศข่าวอันน่าขนลุก เป็นครั้งแรกที่จะลดพนักงานและไม่รับเพิ่มไปก่อนช่วงนี้ เนื่องจากกำลังลดต้นทุนเตรียมพร้อมรอโลก 4.0 ในโลกที่แข่งขันกันระดับโลก
ขนาด กฟผ เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดและกำไรมากที่สุดในประเทศองค์กรหนึ่ง สวัสดิการเพรียบจนน่าอิจฉา เค้ายังต้องปรับตัวก่อน
เมื่อตำแหน่งงานน้อยลงและคนกำลังจะจบมาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงในการตกงานของคนรุ่นใหม่ก็เพิ่มขึ้นมากตาม ดังรูปข้างล่าง
ไม่ใช่ กฟผ องค์กรเดียวที่ออกมาลดต้นทุนจากพนักงาน ถ้าได้ตามข่าวที่ผ่านมาาเกือบทุกบริษัทเริ่มลดคนลง ทยอยให้เกษียณจะรับคนเพิ่มน้อยลงหรือไม่รับเลย
ใช้เทคโนโลยี AI หรือ robot มาทดแทนส่วนของแรงงาน เพราะต้นทุนระยะยาวถูกกว่าจ้างคน


หันกลับมามองในส่วนภาคธุรกิจเอกชนและ SMEs บ้าง ถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจจะรู้ดีกว่าตอนนี้เงินทองหายาก หมุนเงินกันหัวหมุนเนื่องจากเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน มีปัญหา เงินเฟ้อของแพง แถมเงินฝืดอีกต่างหาก โดนมรสุมสองเด้งเลย
รายได้ไม่พอกับรายจ่ายจริงๆ ธุรกิจเริ่มหมุนเงินไม่ทัน มีหนี้เสีย NPL สูงขึ้นตามข่าวออกมาข้างล่างนะครับ

ที่มา : Line Today https://bit.ly/2HXamzA

โลก 4.0 ต่อไป จะใช้เทคโนโลยี AI และระบบคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดอัจฉริยะ เข้ามาในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด มีกำไร
และแน่นอนผลเสียก็ต้องตกมาที่เจ้าของ SMEs ตัวเล็กๆเช่นผม และพนักงานเงินเดือน อะไรที่ไม่เคยเจอ ช่วงนี้ก็เริ่มเจอ เช่นองค์กรที่ไม่เคยทีมีประวัติในการลดพนักงาน ปลดพนักงานก็เริ่มส่งสัญญาณเตือน

ในฐานะที่เคยเป็นพนักงานกินเงินเดือนเกือบ 10 ปีเคยพบเห็นกับตาช่วงการปลดพนักงาน (Layoff) ของบริษัท
และตอนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจ SMEs ตัวเล็กๆมาเกือบ 10 ปีในวัยเกือบจะ 40 ปี อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ว่า
อย่าประมาทในโลก 4.0 นี้ อย่าคิดว่าอะไรมั่นคง ไม่พัฒนาตัวเอง ทำงานไปเรื่อยๆเหมือนเดิม 
อย่าลืมว่าเทคโนโลยีที่เก่งกว่าเรากำลังวิ่งไล่ตามหลังเรามาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ อยู่ๆก็มาจ่อหลังเรา พร้อมจะเตะเราออกจากวงจรพนักงานและเจ้าของ SMEs ตัวเล็กๆ
เมื่อเทคโนโลยีเตะเราออกจากวงจรการทำงานนี้ แล้วเราจะเอาอะไรไปเลี้ยงดูครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเรา
ยังไม่นับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจบมา เงินเดือนถูกกว่าที่มีความสามารถในการปรับตัว และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆมากกว่าเราอีก
โลกกำลังโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดและเห็นแก่ตัว

ทางเลือกในการเตรียมพร้อมรอรับโลก 4.0 ตั้งแต่ตอนนี้คือการลงทุนเพื่อให้เงินเรางอกเงย มีเงินใช้ยามไม่มีงาน ยามวัยชรา อย่างสุขสบาย
การลงทุนจะเริ่มยังไง........ผมได้เขียนแผนผังการเริ่มต้นลงทุนแบบพอเพียง ต่อให้เศรษฐกิจแย่กว่าปี 2540 ก็ยังรอด ดังรูปข้างล่าง
อันนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ไม่มีผิดถูก เพราะผมนำไปใช้จริงๆ มาเกือบ 20 ปี

อย่างแรกเลย ถ้าเราจบใหม่ๆ อย่าเพิ่งไปตั้งเป้าตามเพจตามเฟสหลายๆที่ว่า รวยร้อยล้าน พันล้าน ก่อนนะครับ
ห้้นึกถึงความเป็นจริงในโลกใบนี้ก่อน ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ได้มาง่ายๆ 
ถ้าเงินได้มาง่ายๆป่านนี้โลกใบนี้รวยกันทุกคนแล้วครับ

ถ้าพ่อแม่ไม่มีฐานะ หรือธุรกิจให้สานต่อ ก็หางานทำเถอะครับ ทำงานประจำ ไม่ต้องไปรีบเล่น Forex หรือ หุ้นหรอกครับ
แค่เก็บเงิน ง่ายๆแค่นั้นแหละครับ ถ้าเราไม่เก็บเงิน แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุน พ่อแม่ก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้
เราเอาแต่เที่ยว ซื้อของหรูเกินกำลัง แล้วเวลาโอกาสในการลงทุนมา เราก็จะอ้างว่า เราไม่มีเงิน ทั้งๆที่บางคนก็ไม่มีเงินแต่เค้าเก็บเงินไปลงทุนต่อ
อนาคตเงินที่เค้าลงทุนไปงอกเงย ถึงเวลานั้นหลายๆคนก็ไปอ้างว่าคนนั้น โชคดี ทั้งๆที่คนนั้นเค้าไม่ได้โชคดีแต่เค้าอดทนมากกว่า

บางคนเถียงว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ไม่รู้จะตายเมื่อไร ใช้ชีวิตให้มีความสุข เงินไม่ต้องไปเก็บมากหรอก
อันนี้ก็จริง 
แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าเราไม่ตายแล้วเงินหมด ตกงานละครับ
ตอนตายแล้วเงินเหลือ ยังมีลูกหลานมาคอยดูแล มีคนมาทำให้อุ่นใจไม่เดียวดาย
แต่ถ้ายังไม่ตายแล้วเงินหมด โคตรทรมานเลยนะครับ
ไม่มีซักคนมาเหลียวแล จะไปไหนก็ลำบาก เงินก็ไม่มีป่วยแล้วไม่รู้จะทำยังไง
จะไปขอยืมเงินใครหรือขอใครก็ไปให้เค้าดูถูกเจ็บใจ ทุกข์อีก


ถ้าพ่อแม่มีฐานะมีธุรกิจให้ ก็จะทำงานประจำก่อนค่อยมาสานต่อ หรือสานต่อเลยก็แล้วแต่เราจะเลือก เลือกยังไงสุดท้ายเราก็ต้องอดออม เก็บเงิน

อย่างที่สอง เก็บเงินได้ก็ลงทุนในหุ้น ทองคำ หรือที่ดิน ก่อนจะลงทุนต้องทำการศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละสิ่งที่เราจะลงทุนอย่างละเอียดก่อนนะครับ
ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มากหน่อย ก็ลงทุนในหุ้น จะลงทุนแบบ เก็งกำไรหรือ แนวปัจจัยพื้นฐาน ก็แล้วแต่ที่เราจะชอบเหมาะกับนิสัยของเรา
ถ้าเรารับความเสี่ยงได้น้อยหน่อยก็ทองคำและที่ดิน
หรือกระจายความเสี่ยงทั้งสามอย่างเลยครับ ดังเช่นสุภาษิตว่าไว้ อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตระกร้าเดียวกัน 
แต่ข้อนี้จะเน้นย้ำนะครับ ว่า อย่าก่อหนี้สินโดยไม่จำเป็น เป็นไปได้อย่าสร้างหนี้เลยครับ 
ไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ รอ อดทนจนกว่าเราจะพอมีเงินที่ไม่เดือดร้อนก็ค่อยซื้อของที่เราอยากได้
แต่ตอนนั้นนิสัยเราเปลี่ยน เราจะเสียดายและจะไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยอีกแล้ว 5555

อย่างที่สาม พัฒนาตัวเองตลอดเวลา อ่านหนังสือหาความรู้ทดลองทำทุกอย่างภายใต้ความเสี่ยงที่เราประเมินไว้แล้ว
อันไหนเสี่ยงมาก ถ้ามีเงินพอที่จะรับความเสี่ยงเลวร้ายที่สุดได้เพื่อผลตอบแทนที่ดีมาก ก็สามารถลองได้
แต่ถ้ายังมีเงินไม่มากพอ ก็ชะลอไปก่อน รอพร้อมทั้งความรู้ประสบการณ์และเงินก่อน
ตอนนี้ความเสี่ยงในการทำธุรกิจมากกว่าสมัยรุ่นพ่อแม่เรามากๆ เมื่อก่อนสมัยพ่อแม่เราทำธุรกิจ ยังไม่มีคนทำธุรกิจมากเท่าสมัยนี้
ทุนใหญ่ยังไม่รุกขนาดนี้ ยังเหลือพื้นที่ให้ตัวเล็กๆยังทำธุรกิจได้
ถ้าเราพลาดทีเดียวตอนนี้ โอกาสกลับตัวยากมากๆ จริงๆนะครับ


อย่าประมาทในโลก 4.0 ในอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอในโลกใบนี้
อยู่ที่ว่าจะเกิดเมื่อไร
และถ้าเกิดแล้วเรามีแผนรองรับเพื่อที่เราและครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอยู่รอดในโลกใบนี้ให้สุขสบายและมีความสุขตลอดไป


ปล. ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ มองลองในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วหาแผนรองรับในอนาคตกันดีกว่า

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...