วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

ธนาคารฟรีค่าธรรมเนียมโอนทาง mobile กับ Internet ธนาคารก็มีแต่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยังไงก็ไม่มีขาดทุน

เมื่อวานกับวันก่อนมีข่าวฮือฮา ที่ ธนาคารยักษ์ใหญ่ เปิดศึก "ยกเลิกค่าธรรมเนียม" ทั้งโอน จ่าย ถอน เติมเงิน บนแอพพลิเคชั่น มือถือ และอินเทอร์เน็ต 
ทำให้หุ้นธนาคารในตลาดหลักทรัพย์ตกใจกับข่าวและร่วงกันกระจาย มีบทวิเคราะห์หลากหลายจากหลายๆเพจ ซึ่งวิเคราะห์ได้น่าสนใจมาก
แต่ผมก็ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง ผมเลยไปค้นข้อมูลหลายๆแห่งมาประกอบ และเขียนบทความนี้ขึ้นมา โดยมองอีกมุมหนึ่งในฐานะมุมมองของเจ้าของธุรกิจนะครับ (เป็นมุมมองความเห็นส่วนตัวนะครับ)
ดูยังไงๆธนาคารก็ไม่เสียเปรียบและไม่ขาดทุน กำไรจะมีแต่เติบโตเหมือนเดิม
ทำไมผมมองแบบนั้น ลองมาดู รูปที่ 2 งบการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2560 ด้านล่าง ตรงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ
ปี2560 เพิ่มมากขึ้นจาก 34000  ล้านบาท ในปี2559 เป็น 36000 ล้านบาท
ในไตรมาสแรกของปี 2561 คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ ก็น่าจะยังไม่มีผลอะไรมาก เพราะไตรมาสแรกยังไม่ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียม ทั้งโอน จ่าย ถอน เติมเงิน บนแอพพลิเคชั่น มือถือ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 2 ของปี 2561
แต่การวิเคราะห์รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารทั้งหมดว่ารายได้ที่ยกเลิกค่าธรรมเนียมลดลงไหม เราต้องไปแยกประเภทของค่าธรรมเนียมและการบริการ
ในงบการเงินของแต่ละธนาคารในตลาดหลักทรัพย์ไม่แยกประเภทให้เรา ซึ่งผมพยายามสืบค้นมาแต่ก็หาไม่ได้
ไปเจอข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังรูปที่ 3 รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ แยกแต่ละประเภท ของทุกธนาคาร 
รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ จะมีหลายประเภท เช่น  การรับรอง รับอาวัล และค้ำประกัน บริการบัตร ATM บัตรเดบิต และบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ บริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น 
ซึ่งข้อมูลรายได้ค่าธรรมเนียมแต่ละประเภท ผมหาของธนาคารไทยพาณิชย์อย่างเดียวไม่มี ได้แต่ของทุกธนาคารมารวมกัน
ผมจึงใช้ข้อมูลนี้แทน เพราะต่อไปอนาคตทุกธนาคารน่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียมทั้งหมด
รายได้จากค่าธรรมเนียและบริการของทุกธนาคารรวมกัน เมื่อแยกประเภทออกมา 5 อันดับแรกที่มีสัดส่วนมากที่สุด ตามรูปที่ 4 คือ
1.ค่านายหน้า คิดเป็น 21% ของรายได้ทั้งหมด
2. บัตรเครดิต คิดเป็น 19% ของรายได้ทั้งหมด
3. ค่าธรรมเนียมและบริการอื่น ๆ คิดเป็น 16% ของรายได้ทั้งหมด
4. บริการบัตร ATM บัตรเดบิต และบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ คิดเป็น 16% ของรายได้ทั้งหมด
5. บริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน คิดเป็น 12% ของรายได้ทั้งหมด

ดูจากข้อมูลแล้ว การ"ยกเลิกค่าธรรมเนียม" ทั้งโอน จ่าย ถอน เติมเงิน บนแอพพลิเคชั่น มือถือ และอินเทอร์เน็ต จะกระทบตรงรายได้จากการบริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน
สมมตินะครับ สมมติถ้าต่อไปรายได้ตรงที่คิดเป็น 12% ตัดเป็น 0 เพราะฟรีค่าธรรมเนียมการโอนเงินฟรี (ตามความเป็นจริงมันไม่เท่ากับ 0 แต่เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์)
รายได้ของธนาคารทั้งหมดในไทยจะจะหายไปทั้งหมด 5500 ล้านบาท!!!! (เฉพาะไตรมาส 4 ปี 2560) ดูเหมือนจะเยอะนะครับ
แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ เมื่อรายได้ลดก็ต้องลดต้นทุนลง และหารายได้อย่างอื่นเพิ่ม เพื่อให้มีกำไรให้ธุรกิจอยู่ได้
อย่างแรกที่ธนาคารหลายแห่งประกาศคือลดสาขาและพนักงานลง ตอนนี้ตามข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ทุกธนาคารมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานรวมทั้งหมดคือ 38000 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2560
ถ้าสมมติทุกธนาคารลดสาขาลงและลดพนักงานลงตีตัวเลขคร่าวๆ 15% จะลดต้นทุนลง 5700 ล้านบาทใน 1 ไตรมาส!!!!
เปรียบเทียบหลังจากยกเลิกค่าธรรมเนียม รายได้หาย 5500 ล้านบาท แต่ลดต้นทุนลง 5700 ล้านบาท เหลือกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท ในไตรมาสเดียว!!!!!!!!!!! 

ส่วนการหารายได้ทางอื่น เรามาลองดูรูปที่ 4 นะครับ มาดูสัดส่วนรายได้ที่มาจากบัตรเครดิตและ บริการบัตร ATM บัตรเดบิต และบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ มีสัดส่วนรวมกันเท่ากับ 35%
ซึ่งข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย รายได้ส่วนนี้ของทุกธนาคารจะเท่ากับ 18000 ล้านบาท ต่อไตรมาส
ตามรูปที่ 3 รายได้ที่มาจากบัตรเครดิตและ บริการบัตร ATM บัตรเดบิต และบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้นเพิ่มขึ้นทุกๆไตรมาส

ส่วนนึงที่รายได้ส่วนนี้มากขึ้นเพราะธนาคารผลักดันเครื่องรูดบัตร EDC ให้กับทุกร้าน ตามรูปที่ 5 เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
โดยเมื่อลูกค้าชำระสินค้าผ่านเครื่อง EDC ธนาคารจะทำการหักค่าธรรมเนียมจากร้านค้า 2-3% เป็นรายได้เข้าธนาคาร ดังรูปที่ 6
ต่อจากนี้รายได้ส่วนนี้จะมากขึ้นเพราะสังคมไทยจะเริ่มเข้าสู่สังคมไร้เงินสด จะใช้เงินสดน้อยลง ชำระเงินสดผ่านบัตรเดบิต เครดิตมากขึ้นทั้งออฟไลน์และออนไลน์

ยังไม่รวมที่ธนาคารจะได้ข้อมูลการโอนถอนจ่ายเงินจากการทำธุรกรรมผ่าน แอพพลิเคชั่น มือถือ และอินเทอร์เน็ต ของคนไทยนะครับ
ข้อมูลตรงนี้จะเยอะมาก และสามารถนำมาวิเคราะห์ต่อยอดได้อีกหลายๆอย่างเช่น การวิเคราะห์การจับจ่ายใช้สอย การเก็บภาษีของรัฐ การออกผลิตภัณฑ์ของธนาคารใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้า
สารพัดการวิเคราะห์เลยครับ
 นี่ยังไม่รวมกับการเตะตัดขา ไม่ให้ Fintech เกิดอีกนะครับ ไม่งั้นมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดอีก และไม่แน่อนาคตเค้าอาจจะลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินข้ามประเทศอีกนะครับ
มองดูข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาการยกเลิกค่าธรรมเนียมครั้งนี้ ธนาคารมีแต่ได้กับได้ แต่เค้ากำลังใช้กลยุทธธ์แสร้งถอยเพื่อรุก
ธนาคารไม่น่าห่วงอะไร หุ้นอาจจะตกชั่วคราว แต่ถ้าเมื่อประกาศว่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหลังจากยกเลิกค่าธรรมเนียม หุ้นธนาคารหลายตัวก็อาจจะทำ new high ก็ได้นะครับ


รูปที่ 1 ค่าธรรมเนียมของธนาคาร



รูปที่ 2 งบการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2560 ที่มา : http://www.scb.co.th/th/getfile/78/fr


รูปที่ 3 รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ แยกแต่ละประเภท ของทุกธนาคาร

รูปที่ 4 สัดส่วนรายได้แต่ละประเภท ต่อ รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ แยกแต่ละประเภท ของทุกธนาคาร


รูปที่ 5 เครื่องรูดบัตร EDC


รูปที่ 6 ค่าธรรมเนียมในการรูดบัตรที่ ธนาคารเรียกเก็บจากร้านที่มีเครื่อง EDC หลังลูกค้าซื้อสินค้า


บทความนี้ไม่ได้เชียร์หรือแนะนำหุ้นนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

หุ้นค้าปลีกค้าส่งบนเส้นทางอันสดใสบนหนทางสีงคมผู้สูงอายุไทยในอนาคต

หลังจากเขียนแล้ว ผมก็มีคำถามในใจว่า แล้วถ้าสังคมผู้สูงอายุในไทยเกิดไวไวนี้ละ หุ้นกลุ่มใดน่าจะผ่านวิกฤตและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มค้าปลีกค้าส่งในตลาดหุ้นไทย
คำถามคือทำไมน่าสนใจ เพราะหุ้นค้าปลีกค้าส่งคือการขายของอุปโภค บริโภค ของที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ทุกวัน ขาดไม่ได้ เช่น อาหาร สบู่ ผงซักฟอก เป็นต้น
แต่ถ้าสังคมผู้สูงอายุเกิดในไทยในอนาคต การบริโภคโดยรวมของประเทศน่าจะลดลง เพราะ คนสูงอายุจะไม่ค่อยทานอาหารหรือใช้จ่ายเท่ากับวัยหนุ่มสาว
ส่วนใหญ่จะไปหาหมอเพื่อทำการรักษาสุขภาพมากกว่า ซึ่งหุ้นโรงพยาบาลก็น่าสนใจ
แต่วันนี้เราจะมาดูหุ้นค้าปลีกค้าส่งอย่างเดียวก่อนว่าจะสดใสในเส้นทางของสังคมผู้สูงอายุในไทยหรือไม่

ในอนาคตผู้ผู้สูงอายุมากขึ้น ทางธุรกิจต้าปลีกและค้าส่งต้องการรักษายอดขายและกำไรให้เติบโต แต่ประชากรในไทยลดลง 
ทางเลือกนึงคือการขยายกิจการไปต่างประเทศ ในหลายๆประเทศ เช่นเวียดนาม 
เวียดนามกำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และประชากรของเวียดนามไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มในอนาคตอันใกล้ และมีประชากรเยอะกว่าไทย 30 ล้านคน ณ ตอนนี้ ดังข่าวข้างล่างนี้

 

"การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร
เวียดนามมีประชากรกว่า 95 ล้านคนเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 14 ของโลก ในปี 2030 ประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 105 ล้านคน , ตามที่ Worldometers คาดการณ์ไว้
กลุ่มชนชั้นกลางในเวียดนามมีจำนวนเพิ่มขึ้นเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเติบโตของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมายถึง รายได้ที่มากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตของชนชั้นกลาง บริษัทวิจัยตลาด Nielsen ประมาณการว่า ชนชั้นกลางในเวียดนามจะเติบโตถึง 44 ล้านคน ในปี 2020 และเป็น 95 ล้านคนในปี 2030 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการบริโภคทำให้เวียดนามดเป็นเป้าหมายสำหรับนักลงทุนต่างชาติ"




ดังนั้นปีสองปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นหลายๆบริษัทของคนไทย(ส่วนใหญ่เจ้าสัวอันดับ 1 และ 2) ได้ซื้อกิจการของต่างประเทศมากมาย และส่วนใหญ่จะซื้อบริษัทในตลาดหุ้นของเวียดนาม
เพื่อกระจายและลดความเสี่ยงจากการบริโภคของประเทศไทยที่ทรงตัวตอนนี้ รองรับสังคมผู้สูงอายุของไทยในอนาคต เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้และกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง

ดังนั้นหุ้นค้าปลีกและค้าส่ง(บางตัวนะครับ ไม่ใช่ทุกตัว) ในไทยก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในสังคมผู้สูงอายุอันใกล้ในไทย




บทความนี้ไม่ได้เขียนเชียร์หุ้นนะครับ เป็นการวิเคราะห์จากข่าวที่ออกและมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ 

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

พ่อค้า SMEs สอนลูกเรื่องการลงทุนหุ้น ตอนที่ 1 หลักการลงทุนในหุ้นเหมือนทำการค้านั่นแหละ

เมื่อวันก่อนป๊าผมได้มานั่งคุยเรื่องการเล่นหรือลงทุนในหุ้น ตอนนี้ป๊าผมอายุเกือบ 70 ปี ค้าขายเป็นเจ้าของร้านตั้งแต่อายุ 23 ปี ประสบการณ์การค้าเกือบ 50 ปี
จากประสบการณ์ของป๊า ป๊าเล่าให้ฟังว่าจบ ป.4 มีความลำบากยากจนตั้งแต่เด็กๆ อากงอาม่าเป็นคนจีนอพยพมาจากเมืองจีนแบบเสื่อผืนหมอนใบ มีพี่น้อง 9 คน
เมื่อก่อนบ้านไหนมีลูกเยอะ จะลำบากและเหนื่อยต้องหารายได้ให้พอค่าใช้จ่าย เค้าจะไม่เลี้ยงลูกแบบคนสมัยนี้
อากงอาม่าเลี้ยงลูกแบบบุฟเฟ่ต์ ปล่อยให้ไปทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ ไม่งั้นไม่พอกิน ลูกทุกคนเลยต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเค้าตั้งแต่เด็ก
ป๋าผมทำงานแบกหามตั้งแต่อายุ 12 ปี ทำงานไปเก็บเงินไป จนทุกวันนี้ก็มีร้านทอง 1 ร้านและร้านขายเฟอร์นิเจอร์ 1 ร้าน มีที่ดินพอสมควร ในจังหวัดเล็กๆ
ส่งผมจนจบวิศวกรรมศาสตร์ ป.ตรี โท มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังในกทม และส่งผมไปเรียนภาษาที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย 5 เดือน
ส่วนผมหลังจากจบ ป.ตรีก็ทำงานไปเรียนโทไป ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทต่างชาติมาเกือบ 10 ปี
ปัจจุบันมาช่วยสานต่อธุรกิจของป๊ามาได้ 7 ปี เพราะเค้าวางมือ 
ป๊าผมเคยมีประสบการณ์ซื้อหุ้นตอนปี 2540 ครั้งเดียวและแน่นอนหลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ขาดทุนเยอะมาก เค้าเลยไม่ชอบให้ผมยุ่งเกี่ยวกับหุ้น
เค้าอยากให้ลงทุนเกี่ยวกับทอง และที่ดินมากกว่าเพราะเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ ความคิดของเค้าคือเวลาทองตกหรือที่ดินราคาตก อย่างน้อยก็มีทองแท่งและโฉนดไว้ในมือ 
ส่วนหุ้นมีแค่กระดาษเปล่าๆ เอาไปทำอะไรไม่ได้
แต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อฟังเค้าเท่าไร เป็นลูกที่ดื้อเล่นและลงทุนในหุ้น ช่วงแรกๆขาดทุนก็ไม่ได้บอกเค้า ลงทุนหลายๆปีเข้าเค้าก็เหมือนยอมรับไม่บ่นไม่ต่อต้านอีกต่อไป
แต่ป๊าผมกลับมาลองคิดและมาสอนผมว่า ให้ลงทุนหุ้นหรือเล่นหุ้นเหมือนที่เราทำการค้าดีกว่านะ เพราะประสบการณ์การค้าสองพ่อลูกก็มีพอตัว เอามันมาประยุกต์กับหุ้นมันน่าจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น

ป๊าผมสอนการประยุกต์ใช้หลักการค้าในหุ้นว่า

1. อย่างแรกต้องขยัน  การทำการค้าเราต้องขยัน ขยันศึกษาตลาด ศึกษาสินค้า หาของถูกมาขายในราคาที่เรามีกำไรและศึกษาลูกค้า ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการสินค้าอะไร พัฒนาตัวเอง หาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา หาช่องทางการค้าให้ได้ เหมือนลงทุนให้หุ้น เราต้องศึกษาหาควาามรู้ในเรื่องหุ้น เรื่องเศรษฐกิจ ศึกษาดูหุ้นแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียยังไง หุ้นตัวไหน ราคาต่ำเกินไปกว่าความเป็นจริง เหมือนเราขายสินค้าซักอย่าง ตอนราคาถูกเราก็ไปซื้อมาเก็บไว้ในสต๊อคเรา รอราคาสูงขึ้นค่อยปล่อยขาย

2. อดทน ระหว่างทำการค้า มันเหนื่อยบางทีไม่มีลูกน้องหรือลูกน้องไม่พอ เราต้องลงมือทำเอง บางทีต้องยกของหนักๆเอง เราก็ต้องสู้เพราะที่เราทำทุกอย่างคือกำไรของเรา 
บางทีเจอปัญหาสารพัดไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ เราก็ต้องอดทนสู้ต่ออุปสรรคที่เข้ามา
สมัยซัก 15-20 ปีที่แล้ว ป๊าทำงานตั้งแต่ 7 เช้าจนถึง 4 ทุ่มทุกวัน เดือนนึงปิดร้าน 1 วัน เมื่อก่อนขายส่งเอเย่นต์ขายส่งนมไวตามิลค์ ขายวันละหลายร้อยลัง บางวันลูกน้องไม่พอ ผมกับป๊าก็ต้องช่วยกันยกนมไวตามิลค์ไปส่งลูกค้าด้วยตัวเองวันละร้อยลัง
เหมือนลงทุนในหุ้นบางทีเราวิเคราะห์งบการเงินมาดีแล้ว แต่ราคายังไหลลงเราก็ต้องอดทนเชื่อมั่นในตัวเอง หาทางแก้ไขกันไป

3. อดออม  การค้าช่วงแรกๆ ถ้าเราไม่มีเงินหรือสายป่านที่ยาวพอ ไม่มีพ่อแม่ที่รวยมาสนุบสนุนเรา เราก็ต้องทำงานให้หนักและอดออม ใช้จ่ายประหยัดและพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อ พอเรามีเงินเก็บขึ้น ความเสี่ยงในอนาคตที่เราจะเจ๊งก็ลดลงตาม หรือเราสามารถเอาเงินสดมาขยายกิจการได้
ลงทุนในหุ้น เราทำงานเงินเดือนหรือค้าขายพอมีเงินเก็บเราก็ทยอยซื้อหุ้นเก็บไปเรื่อยๆ มีมากหน่อยก็ซื้อมาก มีน้อยก็ซื้อน้อย พอได้กำไรที่เราพอใจเราก็ขายทำกำไร เอากำไรไปซื้อหุ้นตัวอื่นต่อ ทำไปนานๆเข้าเดี๋ยวก็มีกำไรมากขึ้นเอง

4.ไม่มีทางลัด การทำการค้าไม่มีทางลัดที่จะรวยเร็วมั่นคงในระยะยาว ถ้าพื้นฐานเราไม่แน่น มีแต่ความพยายามอย่างหนัก เช่นถ้าสมมติเราทำการค้าช่วง 10 ปีแรกขายดีมากมีเงินเก็บ และก็จะกู้เงินมาขยาย แต่หลังจากนั้นสมมติเศรษฐกิจสะดุดค้าขายตก รายได้ไม่พอดอกเบี้ยเงินกู้มา นานๆไปขาดทุนสะสมเราก็อาจจะเจ๊งได้
หุ้นก็เช่นกัน คิดถึงความเสี่ยงและหาแผนรองรับไว้เสมอ

5. ค้าขายเงินเหลือมากขึ้นก็ทยอยซื้อทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ที่ดิน ทองคำไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง 
เหมือนถ้าเราได้กำไรจากหุ้นเราก็เอากำไรไปซื้อทรัพย์สินอื่นบ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยง เฉกเช่นดังคำสุภาษิต อย่าเอาไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว
เพราะเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 


โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ พยายามจะเขียนเป็นตอนๆไปเรื่อยๆนะครับ ถ้ากระแสตอบรับดี

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

หุ้น ทองคำ หรือที่ดิน อันไหนน่าลงทุนมากกว่ากัน

เคยมีคำถามสงสัยกันไหมครับ ควรลงทุนอะไรดีระหว่าง หุ้น ทองคำ หรือที่ดิน
ถ้าให้ตอบตรงๆและจริงๆเลยนะครับ..............ผมก็ไม่รู้
ที่ไม่รู้เพราะมันขึ้นกับช่วงเวลาในการวัดผลตอบแทน 
ช่วงเวลานึงอาจจะกินเวลา 1-10 ปี ที่ดินได้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นหรือทอง
แต่ช่วงเวลานึง ทองก็ดีกว่าหุ้น
หรือหุ้นในช่วงเวลาหนึ่งดีกว่าทองและที่ดิน
ลองมาดูกราฟข้างล่างของราคาที่ดินเปลี่ยนแปลงไป ที่กรุงเทพธุรกิจเค้าสำรวจมากันนะครับ
เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินปี 2559-2562 เมื่อเทียบกับปี 2555-2558
สังเกตว่าราคาที่ดินจะขึ้นเกือบทุกจังหวัด บางจังหวัดขึ้นมากเช่น น่าน พะเยา นครศรีธรรมราช แม่ฮ่องสอน เลย ปราจีนบุรีเป็นต้น มากกว่า 30%-111%
แต่ก็มีบางจังหวัดราคาที่ดินขึ้นน้อยมากๆ เช่นโคราช อุบล เชียงใหม่ เป็นต้น
ปัจจัยที่ราคาที่ดินขึ้นมีหลายสาเหตุ เช่นความต้องการการลงทุนในพื้นที่นั้นเพิ่มขึ้น หรือ คนเก็งกำไรคิดว่าที่จะขึ้นก็ซื้อรอไว้ จังหวะดีๆก็ขาย เป็นต้นครับ

มาลองดูหุ้นกันบ้างครับกราฟลงตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน หุ้นไทยเป็นขาขึ้นตลอดจากดัชนี 500 ขึ้นมาถึง 1800 
แต่ก่อนหน้านั้นดัชนีตกตั้งแต่ 1994 จาก 1700 ลงถึง 500 จุดในปี 2008 ตลาดตอนนั้นลงทุนไปผลตอบแทนก็ได้ไม่ดีเท่าไร


ส่วนทองคำตามกราฟข้างล่างตั้งแต่ก่อนปี 2007 มาทองคำวนเวียนอยู่ที่ไม่เกิน 700 USD ต่อ ออนซ์ถ้าแปลงเป็นเงินไทยก็ไม่เกิน 15000 บาท ณ เวลานั้น
แต่หลังจาก ปี 2008-2011 ทองคำทำผลตอบแทนกระฉูดมากครับ แค่ถ้าเราไปซื้อหลังจากปี 2011 ที่ราคาทองไปถึง 1800 USD ต่ออนซ์และถือมาจนบัดดี้เราได้ผลตอบแทนเป็นลบ

อีกตัวอย่างของทอง ปี พ.ศ. 2555 ถ้าเราซื้อทองตอนวันที่ 29 ธค 2555 ที่ราคา 24000 บาทต่อ 1 ทองแท่ง 1 บาท
เรามาขายวันนี้ ราคาอยู่ที่ 19850 บาท เราก็ขาดทุน.......... ถือมาตั้งแต่ปี 2555 มาจน 2561 รวมเวลา 6 ปี เท่าทุนไม่ว่าดันขาดทุนอีก....เศร้า 


จากข้อมูลด้านบน ถ้าผมมาลองวิเคราะห์ดู จะได้ข้อสรุปว่า
1. ผลตอบแทนระหว่างหุ้น ทอง และ ที่ดินเราจะวัดผลตอบแทนได้ ต้องดูที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เวลาตลอดไป 
บางช่วงเวลาทองจะดีกว่าอย่างอื่นเช่น ปี 2007-2011 ถ้าซื้อทองตอนปี 2007 แล้วขายตอน ปี 2011 กำไรจะมากกว่าหุ้น ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
2. ผลตอบแทนของราคาที่ดินวัดยากมากกว่า เพราะราคาที่ดินขึ้นอยู่กับผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคาที่รับได้ทั้งสองฝ่าย และมีปัจจัยที่กำหนดราคาที่ดิน คือ อยู่ตรงจังหวัดไหน คนมีกำลังซื้อไหม 
เป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเยอะไหม มีแหล่งท่องเที่ยวไหม ที่ดินสวยไหมติดถนนไหม เป็นต้น
สมมติถ้าเราซื้อที่ดินตอนปี 2556 จะมาขายตอนนี้ในจังหวัดเล็กๆและเศรษฐกิจไม่ดี ถ้าเทียบกับ กทม หรือเมืองท่องเที่ยว ผลตอบแทนเราอาจไม่ได้ได้เยอะเท่าหุ้นก็ได้
3. เราไม่ใช่ผู้หยั่งรู้เราไม่รู้หรอกว่า หุ้น ทอง หรือ ที่ดินจะขึ้น เราทำได้แค่เอาข้อมูลในอดีตมาหาความน่าจะเป็นว่าจะเป็นยังไงในอนาคต แต่ไม่สามารถรู้อนาคต 100% 
4. มันจะดีกว่าไหม ถ้ากระจายความเสี่ยง ลงหุ้น ทอง หรือที่ดินในอัตราส่วนของเราที่เรารับความเสี่ยงได้ 

แบ่งปันประสบการณ์กาารเทรด Forex (ค่าเงินต่างประเทศ) มาปีกว่า ที่เค้าบอกกำไรดีหนักหนาเมื่อเทียบกับหุ้น

Forex ตอนแรกได้ยินครั้งแรก ไม่เข้าใจ ชื่อนึกว่าขายตรง!! แต่ลองไปดูใน google มันคือการเทรดค่าเงินของโลก มีคู่เงินให้เทรดทั่วโลก 
โอ้ว มันน่าสนุกนะ น่าจะใช้หลักการเทรดเดียวกับหุ้น ดูกราฟ เทรดตามกราฟ ไม่น่ามีอะไรยาก
 
-ปีที่แล้ว 2560 เพื่อนแนะนำให้รู้จัก Forex ตอนแรกไม่คิดเล่น แต่ค้าขายช่วงนั้นเศรษฐกิจเงียบ มีเวลาว่างกลางวันเล่นเกมส์ เบื่อเลยศึกษาและเล่น demo 
 
-เริ่มเล่นที่ ทองคำ เล่นครั้งแรก Demo มันส์มาก ยิ่งกว่าหุ้น โห!กราฟขึ้นลงภายใน 1 นาทีกำไรมากกว่า 20% เปิด Order ค้างไว้ไม่สนใจ ผ่านไปสองวันกำไร 100% (พอร์ท Demo )
 
-เล่นไป 1 เดือน ต้นทุน (demo) 1000 USD ได้ 4500 USD กำไร 450% โดยที่เล่นบ้างไม่เล่นบ้าง
 
ย่ามใจ!!!!!!!!!!!!
 
คิดในใจชะตาฟ้าลิขิตให้ผมแก้แค้นที่เคยขาดทุนหุ้นหนักๆเมื่อหลายปีก่อนใน Forex ได้แน่ๆ
เทพเจ้าแห่ง Forex สงสัยจะมาจุติในร่างของผม
 
วาดฝันตอนนั้นสงสัยจะรวยร้อยล้าน พันล้านแล้ว..................ไปดูใน facebook google มีแต่เทพเจ้า Forex เต็มหน้าฟีดไปหมด หรือ Forex มันเล่นง่ายขนาดนั้น............
 
เทพเจ้า Forex ช่วงนี้สงสัยองค์ลงขยันจุติรึ มาจุติที่ผมอีกคนนึง สบายละทีนี้
 
 
-เดือนมีนา 2560 เติมเงินลงพอร์ทจริง 200 USD ใน Forex broker นึง ถึงแม้มั่นใจ แต่ลึกๆก็ไม่ประมาทเพราะหุ้นแขกทำผมเจ็บมาเป็นแสน....สาหัส เลยคิดว่าเติมแค่นี้ก่อน ถ้าเราเป็นเทพเจ้า Forex เดือนนี้ก็คงกำไรเป็น 1000 USD 

-วันแรกเติมเงิน 200 USD  ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้ง pip levereage หรืออะไร แค่ได้ยินว่ารักษาระดับ %margin ไม่ให้ต่ำกว่า 150% พอ ทีเหลือสบายปลอดภัย ลุยเทรดทองคำอย่างเดียวเลย
-อาทิตย์แรก เทรดมันมาก.....ได้กำไรมา 60 USD ภายใน 7 วัน.....เฮ้ย พลังของเทพเจ้าที่มาจุตินี่ดีจริงสบายแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย 5555555
 
ในตอนนั้นคิดแบบนั้น ไม่ต้องดูข่าว ดูอะไรมากใช้ sense ที่เทพเจ้าประทานมาให้พอ
-มาเจอวันที่พลิกชะตา วันประกาศ non farm payroll เดือน มีนา 2560 วันนั้นทำให้หน้ามืดตัวสั่นเครียดครั้งแรกของโลก forex และเหมือนเทพเจ้าจุติลงมากระโดดหนีออกจากร่าง......
 
 
 
 
 
-Non farm payroll คือตัวเลขสำคัญที่สุดของอเมริกา คือการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ทุกอาชีพ ยกเว้นเกษตรกรรม มีผลต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจมาก ว่าจะดีหรือไม่

-อ่าว แล้วตอนเทรดทำไมไม่รู้ ทำไมเทพตอนจุติไม่เตือนผมบ้าง 

-ตอนนั้นทองอยู่ที่ 1201 ผมเก็งว่าจะลงต่อ เลย sell ได้กำไรก่อน 19.00 ที่จะประกาศตัวเลข non farm ลงทุน 50 usd ได้กำไรแต่ยังไม่ปิด ที่ 10 usd 

-พอประกาศ non farm ปุ๊บ ลงให้ชื่นใจก่อนได่กำไรไม่ปิด 20 usd เปิด order เพิ่มอีก 2 lot

-ชั่วพริบตาเดียวโดนลากไป 1210   -ิกหายแล้วววววววววววว กระพริบตา ติดลบ 120 usd 
-หน้ามืดใจสั่น ทุน 50 บวกกับเปิด lot เพิ่มกลายเป็นทุน 100 แต่ติดลบ 120 ความบรรลัยบังเกิด

-เหมือนใจสั่น องค์เทพจุติเหมือนกลัว ท่าทางอยากกระโดดออกจากร่าง ผมรีบสงบใจใช้สมาธิ แล้วบอกตัวเองว่าปล่อยไหลค้าบ

-เหมือนเทพจะดึงพลังฟ้าดินทำให้ทองลงมาเหลือติดลบ 60 แล้วเหมือนฟ้าหมุน เทพกระโดดออกจากร่าง หัวสมองผมเบลอ ไปหลายนาที หลับตา ปิด order ที่ลบ 60 usd

- เหมือนเทพจะกลับเข้ามาร่างใหม่ สั่งให้กด buy เหมือนรู้ว่ามันจะขึ้น เผอิญเทพเหมือนไปชาร์จพลังมาแล้ว ทองขึ้นต่อ

-ผมไม่ปิดออร์เดอร์ เพราะเชื่อมั่นในเทพและ sense พริบตาอีกแล้วมันลงไป -30 usd ชิบหายเปลี่ยน sell เป็น buy พลังเทพไม่ได้ช่วยอะไรเลย

-อยู่ดีดีฟ้าหมุน เทพกระโดดออกจากร่างไปเลย สติผมไม่อยู่เลยทำไงทีนี้ปิด order -30 ไปเลย ตายเป็นตาย
-พอปิดปุ๊บเทพออกจากร่างไป10 นาที ทองเันกระโดดขึ้นไป 1211 ถ้าถือไว้บวกอย่างน้อย 30 usd

-อ่าวที่สิงร่างผมอยู่ตอนนั้นคือเทพเจ้าแห่งความโง่รึ หลอกให้ตายใจแล้วกระทืบซ้ำ
-สุดท้ายวันนั้น -90 ได้กำไรมา 60 ติดลบ 30 ความมั่นใจหายไปหมด 
-ตั้งแต่วันนั้นรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลก forex เข้าถึงแก่นเลย
-แล้วที่คนโชว์กำไร forex ว่าทำเงินง่าย นี่มึงหลอกตรูนี่หว่าาาาาาา...........
 
 
-เทพได้กระโดดออกจากร่างทำให้ ลบ 30 USD จากทุน 200USD คำถามผุดขึ้นในใจ เกิดอะไรขึ้น!! ทำให้ราคามันผันผวนมากขนาดนี้ ผันผวนต่อ 1 นาทีนี่เกิด 200-300% ได้เลย จะรวยหนือหมดตัวได้ในพริบตาเดียวเลยในโลกของ Forex

-คืนนั้นนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหมือนมีความคิดว่าหุ้นแขกตามมาหลอกหลอน เราทำอะไรผิดลงไป กลับมาย้อนดูที่ผิดพลาดคือ ข่าว! เราไม่ได้ดูข่าว 

-อ่านเจอทีหลัง ศาสดาเทรดเดอร์ทั้งหลายบอกว่า ข่าวมีผลต่อราคาอย่างสูงเป็นตัวทำให้ราคาขึ้นและลงแบบพริบตาได้ ข่าวเป็นเหมือนแรงผลัก เหมือนการเขย่าไฮโล ข่าวจริงข่าวหลอก เช่น ผลประกอบการของหุ้นไทย ทำให้เกิดความคาดหวัง


- เอาละ ข่าวเศรษฐกิจดีราคาต้องขึ้น ข่าวร้าย ราคาาเงินใน Forex ที่ข่าวมีผลต่อลง ง่ายๆแค่นี้ ศึกษามาดี รอข่าาวแล้วค่อยเทรด เดี๋ยวก็ได้สบาย ง่ายจริงๆเลย

-เทรดโดยตามข่าว กำไรดีมากมายมาย เทรดเพลินเลยรู้หลักแล้ว

- แต่มีวันนึง มั่นใจมาก ข่าวเศรษฐกิจไม่ดีอังกฤษ ราคาต้่องลง Sell ไป แต่ซักพักมันขึ้น กระจาย เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ กลับไป refresh ข่าวใหม่ ตัวเลขเปลี่ยน จากร้ายกลายเป็นดี เหมือนระบบมันแกล้งเรา ใส่ตัวเลขผิดแล้วมาแก้ 
- อ่าาว มรึงหลอกตรู.....................................
 
 
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ เล่าสามวันก็ยังไม่จบ เรื่องนี้ Forex นี่ยั่งกับหนัง Inception ฝันซ้อนฝัน หักมุมหักหลังดุเดือด...............
แต่สุดท้ายถ้าเรารู้จักความเสี่ยง การวางออร์เดอร์คำนวนการโดนล้างพอร์ทเป็น มันเหมือนจะง่ายกว่าาการเทรดหุ้น
เพราะสิ่งที่ Forex ได้เปรียบกว่าหุ้นคือสภาพคล่องในกาารเปิดปิดออร์เดอร์ เปิดปิดราคาได้ภายในวินาทีเดียว

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง
อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน้องใครให้ปวดหัว หนึ่งในธุรกิจยอดนิยมคือเปิดร้านกาแฟ
หลายๆคนอยากเปิดร้านกาแฟตั้งแต่ขนาดเล็กจึงระดับใหญ่ ทั้งทำร้านเองหรือซื้อแฟรนไชส์ แต่งร้านสวยๆเพื่อให้ลูกค้าประทับใจ
ถ้าเราอยากทำเองเราก็ลงทุนทำเอง บริหารเอง ชงกาแฟเอง แต่ถ้าเราไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นและไม่ค่อยชอบงานบริการเท่าไร ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการซื้อแฟรนไชส์
ตอนนี้แฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศ ที่มีอยู่ในปั๊มเยอะที่สุดได้มีการทำการตลาด เชิญชวนผู้ลงทุนมาทำแฟรนไชส์มาหลายปีแล้ว พอมาลองนั่งอ่านเงื่อนไขการซื้อแฟรนไชส์ก็ลองมาวิเคราะห์ตัวเลขคร่าวๆ
วันนี้เราเลยจะมาลองเปรียบการซืื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศ ที่มีอยู่ในปั๊มเยอะที่สุด เปรียบเทียบกับการลงทุนให้หุ้น อันไหนผลตอบแทน และความเสี่ยงดีกว่ากัน
ผมได้ทำการค้นหาข้อมูลการลงทุนในการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศ ในเวบของเค้า ดังตารางข้างล่าง (ท่านใดสนใจลองหาใน google นะครับ ข้อมูลเปิดเผยในเวบของเค้า)

สมมติฐานในการเปรียบเทียการซื้อแฟรนไชส์คือ เรามีเงินสดในการซื้อแฟรนไชส์ตามข้อกำหนดเค้า และเรามีเงินเดือนจากงานประจำอยู่แล้วเดือนละ 50000 บาท
ในตารางสรุปค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟรนไชส์ครั้งแรกเข้าเอาราคากลางๆ 2,700,000 บาท โดยจะทำร้านกาแฟเนื้อที่ 130 ตารางเมตร
พอซื้อแฟรนไชส์เสร็จ ก็ทำการสร้างตกแต่งร้านจนเปิดขายได้
ระหว่างเปิดร้านขาย สมมติเฉลี่ยขายได้ 250 แก้วต่อวัน เฉลี่ยแก้วละ 55 บาทจะได้รายได้ต่อวัน 13,750 บาท
เดือนนึงยอดขายก็ 412,500 บาท
ตีกำไรเลย 40% ของยอดขาย 165,000 บาท
แต่ช้าก่อน เค้ามีข้อกำหนดหลังจากซื้อแฟรนไชส์ที่ต้องจ่ายคืนให้บริษัทแม่ทุกๆเดือน (ลองค้นหาดูใน google นะครับ ) คือ

1.  ค่า Royalty Fee 3% จากยอดยอดขายคือ 412,500 บาท = 12,375 บาท
2.  ค่า Marketing Fee 3% จากยอดยอดขายคือ 412,500 บาท = 12,375 บาท
รวมที่ต้องจ่ายให้บริษัทแม่ 24,750 บาท
สองข้อด้านบนคือต้นทุนที่เราต้องจ่าย ขายดีจ่ายมากหน่อย ขายไม่ดีก็จ่ายน้อยลงหน่อย แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องจ่าย
แต่อย่าลืมนะครับต้นทุนของเราไม่หมดแค่นี้ ยังมีอีก คือ

1. ค่าลูกน้อง 4 คนๆละ 10,000 ต่อเดือน ก็เท่ากับ 40,000 บาท
2. ค่าไฟและค่าน้ำเดือนละ 15,000 บาท 
3. ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นอีก เดือนละ 10,000 บาท
4. ค่าภาษี ค่า VAT ตีเดือนละ 3000 บาท
5. ค่าเช่าที่ในกรณีที่เราไม่มีที่เป็นของตัวเองหรือเราอยากจะขายกาแฟในห้าง ตีราคาค่าเช่าต่อเดือน ขั้นต่ำ 50000 เพราะเนื้อที่ 130 ตารางเมตรในห้างราคาแบบถูกสุดๆในห้างต่างจังหวัด
ตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อเดือนคือตัวเลขคร่าวๆคือ 118,000 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือน 24,750+118,000 =  142,750 บาท 

เกลือกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย 165,000-142,750 = 22,250 บาท ต่อเดือน
ระยะเวลาคืนทุน เท่ากับเงินต้น หารกำไร = 2,700,000 / 22,250 = 121.34 เดือน = 10 ปี!!!!!!!!

10 ปีคืนทุนทั้งหมดที่ลงไป แต่อย่าลืมนะครับ ข้อแม้คือ ต้องขายได้เฉลี่ยวันละ 250 แก้ว
จะลดเวลาจาก 10 ปีได้คืนทุนเร็วๆ ต้องไม่กู้แบงค์ ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่มองไม่เห็น และมีที่ดินเป็นของตัวเอง เช่น เรามีปั๊มเป็นของตัวเอง เราต้องซื้อแฟรนไชส์มาดึงลูกค้าแวะปั๊มเรา ค่าใช้จ่ายในการเช่าที่เพื่อเปิดร้านกาแฟจะลดลงเป็น 0 จะคืนทุนได้ไวขึ้นมากครับ

และที่สำคัญมีข้อแม้  อายุสัญญา 6 ปี หมด 6 ปีต้องต่อสัญญาครั้งนึง และผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้อง Renovate ร้านทุกๆ 3 ปี ตามที่บริษัทกำหนด
แล้วลองคิดดู ค่า renovate เท่าไรละเนี่ยครับ เราต้องจ่ายค่าปรับปรุงร้านเองนะครับ ทำกำไรมาทุกวันให้เค้าหมดเลยนะครับเนี่ย.........
ขนาดผมนั่งคำนวณเล่นๆยังเหนื่อยมากเลยครับ
************การคำนวนค่าใช้จ่าย และการคืนทุน(Payback period) เป็นการคำนวนคร่าวๆนะครับ ประมาณจากยอดขายสมมติและค่าใช้จ่ายสมมติ บางทีเปิดร้านกาแฟแล้วยอดขายอาจจะมากกว่าที่คิดหรือน้อยกว่าที่คิดไว้มากๆนะครับ

คราวนี้เรามาลองดูอีกมุม ถ้าเรามีเงินทุนอยู่ 2,700,000 บ้าง เราไม่ทำร้านกาแฟ แต่เราอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองละ
หนทางที่น่าสนใจคือ หุ้น เพราะถ้าเราซื้อหุ้นเราก็เหมือนเป็นเจ้าของบริษัทนั้นไปแล้ว
เงิน 2.7 ล้าน สมมติเราไปลงทุนให้หุ้นตัวนึง เช่น ปตท (PTT) เลือกหุ้นนี้เพราะบริษัทมั่นคง รัฐถือหุ้นใหญ่ ไม่มีทางล้มหายตายจากไปได้
มาดูข้อมูลงบการเงิน ที่มา https://www.finnomena.com/stock/PTT

จะเห็นว่าผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 4% แบบคร่าวๆนะครับ
เงิน 2,700,000 บาท 4% ต่อปี ได้ผลตอบแทนต่อปี 108,000 บาท หรือเดือนละ 9000 บาท
แต่ถ้าเราซื้อ ตอนปี 2551 ที่ราคา 175 บาท มาขายตอนปี 2561 ที่ราคา 500 บาท 
เงิน 2,700,000 บาท เราจะกลายเป็น 7,700,000 บาท !!!!!!!!! คิดเป็น 285.7%ที่เพิ่มขึ้น

เห็นความแตกต่างกันไหมครับ ระหว่างซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟกับซื้อหุ้น
1. กำไรต่อเดือนจากการเปิดร้านกาแฟอาจจะมากกว่าเงินปันผลในหุ้น แต่อย่าลืมถ้ายอดขายร้านกาแฟเราตกละ ทุกๆ 3 ปีเสียเงินค่าแต่งร้านอีก
2. ระหว่างเปิดร้านกาแฟ ปัญหาที่เราคาดไม่ถึงจะมารุมเร้า เช่นลูกน้องไม่พอ อยู่ดีดีก็ไม่มาทำงาน ท่อน้ำเสีย แอร์พัง สารพัดปัญหาที่จุกจิกเมื่อเทียบกับซื้อหุ้น
3. มูลค่าหุ้นถือยาว มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลค่าร้านกาแฟ วันดีคืนดีเจ้าของแฟรนไชส์อาจจะยกเลิกสัญญาเราได้ เงินที่ลงทุนไปนี่อาจจะหายไปหมดเลยก็ได้นะครับ
4. บางทีเราขายกาแฟดีมาก กำไรกำลังจะเริ่มคืนทุนได้ไว แต่บางทีวันดีคืนดี มีแฟรนไชส์เจ้าเดิม มาเปิดร้านใกล้ๆเรา ชิงส่วนแบ่งเรา เราจะทำยังไงดี
5. ปัญหามีมากมายเลยครับในการทำธุรกิจเอง เล่าสามสี่วันก็ไม่จบ

ถ้าซื้อหุ้นแล้วถือไปเรื่อยๆ เงินปันผลที่ได้มาก็นำไปลงทุนให้หุ้นต่อ ทยอยซื้อไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ

บทความนี้ไม่ได้เชื้อเชิญในการซื้อขายหุ้นนะครับ แต่แบ่งปันประสบการณ์มุมมองการทำธุรกิจเทียบกับหุ้น การซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบกันอีกทีนะครับ

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...