คำว่า ดอกเบี้ย หลายๆคนที่ได้ยินจะรู้สึกแตกต่างกัน บางคนได้ยินแล้วชอบ รักดอกเบี้ย เพราะเป็นฝ่ายให้กู้ เช่น ธนาคาร หรือนายทุน
แต่ส่วนใหญ่ฟังแล้วรู้สึกตัวร้อน เครียด เบื้ออาหาร ป่วยง่าย ไม่ชอบคำว่าดอกเบี้ย เพราะเป็นฝ่ายฝั่ง ผู้กู้ เช่นคนส่วนใหญ่กู้เงินซื้อรถซื้อบ้าน
ดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จะขึ้นๆลงๆตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ
ตามหลักเศรษฐศาสตร์เราร่ำเรียนกันมา เศรษฐกิจและเงินเฟ้อต้องอยู่ระดับพอดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป
เศรษฐกิจไม่ดีเงินฝืด ก็ต้องหาทางลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง เพื่อดึงดูดผู้กู้ให้มากู้เงิน นำไปลงทุนเกิดการจ้างงาน และมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจโตมากขึ้น แก้ปัญหาเงินฝืด
ในทางกลับกันเศรษฐกิจโตไวเกินไป เกินควบคุม ธนาคารกลางจะต้องลดความเร่งในการเติบโตเศรษฐกิจโดยการขึ้นดอกเบี้ย
เมื่อดอกเบี้ยมากขึ้น ทำให้ผู้กู้คิดหนักก่อนจะกู้ เพราะดอกเบี้ยมากขึ้น มีผลทำให้จำนวนผู้กู้ลดลง ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล
ณ วันนี้ อเมริกาเริ่มเพิ่มดอกเบี้ย เพราะนโยบายที่ผ่านมา เริ่มแก้ปัญหาการจ้างงานของอเมริกาได้ดีขึ้น คนมีงานทำ เงินเฟ้อเริ่มโตตามเป้าหมาย
อเมริกาต้องควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป ให้ค่อยเป็นค่อยไปตามที่ควรจะเป็น โดยค่อยๆเพิ่มดอกเบี้ยไปทีละขั้น
แล้วมันเกี่ยวยังไงกับดอกเบี้ยไทย
การเชื่อมโยงนโยบายการเงินของไทยกับนโยบายการเงินของโลกที่ดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น
ซึ่งจะส่งผลต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย เช่น หากอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยจนสูงกว่าไทย เงินทุนก็มีโอกาสไหลกลับไปที่สหรัฐฯ เพื่อไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
ฉะนั้นเมื่อดอกเบี้ยโลกเริ่มขาขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะพิจารณาเพิ่มดอกเบี้ยในไทยมาขึ้นด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆด้านก่อนทำการขึ้นดอกเบี้ย เช่น ผลกระทบเงินทุนไหลออก เศรษฐกิจไทยระดับรากหญ้าถึงระดับบน
ต้องชั่งน้ำหนักว่าข้อดีมากกว่าข้อเสียอะไรบ้าง
แล้วถ้าดอกเบี้ยอเมริกาขึ้นมากขึ้นละ แต่ดอกเบี้ยในไทยยังคงที่ จะมีผลกระทบกับบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังไง
แน่นอน ถ้าบริษัทในตลาดหุ้นไทย กู้เงินต่างประเทศไปลงทุน ดอกเบี้ยส่วนใหญ่คิดตามอเมริกา เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น ต้นทุนก็สูงขึ้น
เมื่อรายได้เท่าเดิมแต่ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้กำไรลดลง
แต่ถ้าถ้าดอกเบี้ยอเมริกาขึ้นมากขึ้นละ และดอกเบี้ยในไทยเพิ่มขึ้นในอัตราความเร็วที่เท่ากัน (แนวโน้มในอนาคตจะเป็นแบบนั้น)
มีผลกระทบบริษัทในตลาดหุ้นไทย ที่กู้เงินในประเทศและต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สมมติกู้เงินมา 100 ล้านบาท ดอกเบี้ยเพิ่ม 1% จะทำให้ต้นทุนเพิ่มมากขึ้นอีก 1 ล้านบาท
แล้วเราจะลงทุนอย่างไรในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้
1. ถ้าเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน หลักทรัพย์ หรือ ประกันภัย เราต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มี อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity, D/E) ต่ำ ไม่ควรเกิน 1.5-2 เพราะ หนี้สินต่อทุนต่ำ แสดงว่ากู้เงินมาไม่เยอะ
ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้หนี้สินจากดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นแต่ถ้าบริษัทบริหารต้นทุนดีดีอัตราส่วน D/E จะไม่สูงผิดมากจนผิดปกติ
ที่มาข้อมูล http://bidschart.com/financialList
2. วิเคราะห์งบการเงินและกำไรขาดทุน เลือก ลงทุนในบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอ มีปันผลทุกๆปีเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของราคามูลค่าหุ้น เมื่อเงินทุนไหลออกนอกไทยเพราะอเมริกาขึ้นดอกเบี้ย
3. และแน่นอนลงทุนให้กลุ่มธนาคารและเจ้าหนี้ที่ให้กู้ เช่นกลุ่มลิสซิ่ง ประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
เนื่องจากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อานิสงค์ตกมาที่ผู้ให้กู้หรือสินเชื่อจะทำให้มีรายได้มากขึ้น
แต่ถ้าอยากให้เงินต้นปลอดภัยแบบสุดยอดมากยิ่งขึ้น แบบไม่เอาความเสี่ยงจากการลงทุน
ลองแบ่งเงินส่วนนึง ซื้อสลากออมสิน หรือ ธกส ในอนาคต
เนื่องจากเราจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากในสลาก และได้การันตี เงินถูกสลากต่อเดือน
รวมทั้ง ลุ้นรางวัลที่ 1 สิบล้านขึ้นไปทุกๆเดือน โดยเงินต้นไม่หายอีกด้วยครับ
ถ้าฝาก 1 ล้าน ในสลาก ธกส จะได้เงินการันตีทุกๆเดือนไม่รวมดอกเบี้ยและรางวัลที่
จะได้ 990 บาท ต่อเดือน
ที่มา นิตยสารการเงินการธน าคาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น