วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เทคนิคการซื้อหุ้นราคาถูกที่จุดอุปสงค์ (Demand zone) ลดความเสี่ยงในการติดดอยนานๆ...Case Study หุ้น BPP


เคยเป็นกันใช่ไหมครับ ที่หลังจากเราวิเคราะห์งบการเงิน balance sheet, งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด อย่างละเอียดตามหนังสือที่เค้าสอนมากันมากมาย แล้วเข้าซื้อ และก็ดอย ตามระเบียบ 555

ดอยทีเป็นเดือน ปี หรือ หลายปี ทั้งที่เราก็ประเมินมูลค่าหุ้น Fair Value ตามหนังสือเด๊ะ แล้วทำไมยังติดดอย

ผมก็เคยเป็นเมื่อหลายปีที่แล้ว ซื้อหนังสืออ่านหนังสือละเอียดเอางบการเงิน 5 ปีมานั่งแยกคำนวณ หา Fair Value ประเมินธุรกิจและหามูลค่าในอนาคตที่ควรจะเป็น

ปัญหาอย่างแรกคือการลำเอียงหรือ Bias ในการประเมินธุรกิจ การประมาณยอดขายหรือค่าใช้จ่ายบางในอนาคตท่านสูงหรือต่ำเกินไป ตรงนี้คือจุดอ่อน เพราะเราทุกคนไม่รู้อนาคต ไม่รู้สภาพธุรกิจภายในจริงๆ
และดันไปซื้อที่ราคาที่สูงพอสมควร ซื้อปุ๊บ ราคาเด้งให้รู็สึกดีซักพัก ชอบไปซื้อที่ยอดดอย Wave 3 และ Wave 5 บ่อยๆ
ก็ตบลงมาให้สดชื่นเลือดท่วม 555

บางท่านบอกว่าให้ซื้อราคาที่ไม่สูงเกินไป 
แต่สงสัยกันไหมครับ ว่าราคาไหนที่สูงที่เกินไป
แล้วราคาไหนต่ำเกินไป ราคาไหนน่าซื้อหรือลงทุน
เราจะใช้อะไรอ้างอิงในการดูราคา

วันนี้ผมมาเสนอแนวทางเลือกทางหนึ่งในการดูราคาหุ้นในการเข้าซื้อ แล้วจะทำให้ลดความเสี่ยงในการติดดอยพอสมควร อาจจะติดดอยแต่ไม่นานเท่าไร
เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและลองนะครับ เป็นแค่สถิติและความน่าจะเป็น ไม่การันตี 100%
เพราะหุ้นถ้าใครสามารถการันตีการซื้อที่ถูกและขายในราคาที่แพงได้ คนนั้นก็รวยเป็นพันๆหมื่นๆล้านกันหมดแล้ว เหมือน Buffet

เทคนิคนี้คือการซื้อที่ในราคาอยู่ในช่วงอุปสงค์ หรือ Demand Zone คือการหาพื้นที่ของช่วงราคาหุ้นที่จุดที่คนส่วนใหญ่ต้องทำการซื้อ
อุปสงค์ (Demand) มากกว่า Supply(อุปทาน) หุ้นก็ขึ้นเพราะคนส่วนใหญ่ซื้อมากกว่าขาย
อุปมาอุปไมยเหมือน ตอนนี้ราคาทุเรียนปรับตัวขึ้นสูง เพราะมีคนซื้อเยอะกว่าคนขาย ซื้อเกือบทุกราคา

ก่อนจะใช้เทคนิคนี้ เราต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นก่อนนะครับ เราจะหลีกเลี่ยงหุ้นปั่น หุ้นไม่มั่นคง
หุ้นที่ไม่มีกำไร หุ้นที่ขาดทุนเกือบทุกปี
เลือกหุ้นที่มีงบการเงินดี ไม่จำเป็นต้องเติบโตทุกปีแต่ ขอพื้นฐานดีก็พอ มีปันผล เพราะอย่างน้อยเวลาเกิดติดอยเราก็มีปันผลเรื่อยๆ
ลดควาามเสี่ยงลงได้เยอะเลยครับ

Demand Zone หรือพื้นที่หรือกรอบของราคาที่คนส่วนใหญ่จะซื้อเยอะ ดูตรงไหนจากอะไร

1. อย่างแรก ดูจากกราฟของหุ้น ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างหุ้น BPP นะครับ เพราะตอนนี้กำลังอยู่ใน Demand Zone พอดี และเมื่อเราวิเคราะห์งบการเงินแล้ว 
BPP มีพื้นฐานการเงินดี มีกำไร ดูจากรูปข้างล่างนะครับ

Demand Zone เราจะดูช่วงพื้นที่หรือกรอบราคาที่ต่ำที่สุดใน Timeframe ที่เราเลือก
 จากหุ้น BPP กราฟรายวัน หรือ Timeframe Day ราคา ณ ตอนนี้ที่ 24.60 อยู่ในพื้นที่ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี (23.5-24.60) 

2. อย่างที่สอง ข้ามไปดู กราฟรายสัปดาห์หรือ Timeframe Weeตอนนี้หุ้น BPP ก็อยู่ในช่วงราคาที่อยู่ในพื้นราคาต่ำเมื่อเทียบกับกรอบราคาเก่า
ดทั้ง TImeframe Day และ Week ดูใน Demand Zone
เราก็ทยอยซื้อหรือลงทุนตามเงินที่เรามี ราคาลงเราก็ทยอยซื้อให้กรอบราคาที่เราตั้งไว้ (23.5 บาทถึง 24.60 บาท)

ถ้าเราวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาดีแล้วและลงทุนระยะยาวกินปันผล เราก็ซื้อตามจำนวนเงินที่เราจัดสรรไว้
ต่อไประยะเวลาผ่านไปหลายปีพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนเราก็ทยอยขาย
หรือ ขายที่ราคาที่ได้กำไรและเราพอใจ
อันนี้แล้วแต่ละบุคคลที่จะเลือกนะครับ 

จุดอ่อนของเทคนิค Demand Zone คือ การรอคอย หุ้นพื้นฐานดี งบการเงินดีเติบโต ราคาจะไม่ลงมาง่ายๆ นอกจากเกิด Panic Sell
และอีกอย่าง คือถ้าเรา Bias ไปว่าบริษัทมีโอกาสเติบโต แต่ความจริงแล้วบริษัทอาจจะมีการหมกเม็ดไม่บอกเราทั้งหมด
เมื่อเกิดข้อเท็จจริงออกมาทำให้พื้นฐานบริษัทเปลี่ยน ต่อให้ Demand Zone ก็ใช้ไม่ได้ผล ราคาอาจจะทะลุไปต่ำกว่า Demand Zone เป็นเวลานาน
จนกว่าพื้นฐานบริษัทจะดีเหมือนเดิม



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...