วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกเปลี่ยนแปลงไปทางในที่โหดร้ายขนาดนี้จะลงทุนยังไงในโลก 4.0 ใบนี้ในอนาคต

ได้อ่านข่าวในช่วงเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยไปเป็นโลก 4.0 ช่วงนี้กันไหมครับ มีแต่เรื่องที่สะเทือนขวัญแก่คนทำงานกินเงินเดือนและเจ้าของธุรกิจ SMEs มากๆ

เมื่อวาน กฟผ ประกาศข่าวอันน่าขนลุก เป็นครั้งแรกที่จะลดพนักงานและไม่รับเพิ่มไปก่อนช่วงนี้ เนื่องจากกำลังลดต้นทุนเตรียมพร้อมรอโลก 4.0 ในโลกที่แข่งขันกันระดับโลก
ขนาด กฟผ เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดและกำไรมากที่สุดในประเทศองค์กรหนึ่ง สวัสดิการเพรียบจนน่าอิจฉา เค้ายังต้องปรับตัวก่อน
เมื่อตำแหน่งงานน้อยลงและคนกำลังจะจบมาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงในการตกงานของคนรุ่นใหม่ก็เพิ่มขึ้นมากตาม ดังรูปข้างล่าง
ไม่ใช่ กฟผ องค์กรเดียวที่ออกมาลดต้นทุนจากพนักงาน ถ้าได้ตามข่าวที่ผ่านมาาเกือบทุกบริษัทเริ่มลดคนลง ทยอยให้เกษียณจะรับคนเพิ่มน้อยลงหรือไม่รับเลย
ใช้เทคโนโลยี AI หรือ robot มาทดแทนส่วนของแรงงาน เพราะต้นทุนระยะยาวถูกกว่าจ้างคน


หันกลับมามองในส่วนภาคธุรกิจเอกชนและ SMEs บ้าง ถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจจะรู้ดีกว่าตอนนี้เงินทองหายาก หมุนเงินกันหัวหมุนเนื่องจากเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน มีปัญหา เงินเฟ้อของแพง แถมเงินฝืดอีกต่างหาก โดนมรสุมสองเด้งเลย
รายได้ไม่พอกับรายจ่ายจริงๆ ธุรกิจเริ่มหมุนเงินไม่ทัน มีหนี้เสีย NPL สูงขึ้นตามข่าวออกมาข้างล่างนะครับ

ที่มา : Line Today https://bit.ly/2HXamzA

โลก 4.0 ต่อไป จะใช้เทคโนโลยี AI และระบบคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดอัจฉริยะ เข้ามาในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด มีกำไร
และแน่นอนผลเสียก็ต้องตกมาที่เจ้าของ SMEs ตัวเล็กๆเช่นผม และพนักงานเงินเดือน อะไรที่ไม่เคยเจอ ช่วงนี้ก็เริ่มเจอ เช่นองค์กรที่ไม่เคยทีมีประวัติในการลดพนักงาน ปลดพนักงานก็เริ่มส่งสัญญาณเตือน

ในฐานะที่เคยเป็นพนักงานกินเงินเดือนเกือบ 10 ปีเคยพบเห็นกับตาช่วงการปลดพนักงาน (Layoff) ของบริษัท
และตอนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจ SMEs ตัวเล็กๆมาเกือบ 10 ปีในวัยเกือบจะ 40 ปี อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ว่า
อย่าประมาทในโลก 4.0 นี้ อย่าคิดว่าอะไรมั่นคง ไม่พัฒนาตัวเอง ทำงานไปเรื่อยๆเหมือนเดิม 
อย่าลืมว่าเทคโนโลยีที่เก่งกว่าเรากำลังวิ่งไล่ตามหลังเรามาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ อยู่ๆก็มาจ่อหลังเรา พร้อมจะเตะเราออกจากวงจรพนักงานและเจ้าของ SMEs ตัวเล็กๆ
เมื่อเทคโนโลยีเตะเราออกจากวงจรการทำงานนี้ แล้วเราจะเอาอะไรไปเลี้ยงดูครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเรา
ยังไม่นับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจบมา เงินเดือนถูกกว่าที่มีความสามารถในการปรับตัว และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆมากกว่าเราอีก
โลกกำลังโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดและเห็นแก่ตัว

ทางเลือกในการเตรียมพร้อมรอรับโลก 4.0 ตั้งแต่ตอนนี้คือการลงทุนเพื่อให้เงินเรางอกเงย มีเงินใช้ยามไม่มีงาน ยามวัยชรา อย่างสุขสบาย
การลงทุนจะเริ่มยังไง........ผมได้เขียนแผนผังการเริ่มต้นลงทุนแบบพอเพียง ต่อให้เศรษฐกิจแย่กว่าปี 2540 ก็ยังรอด ดังรูปข้างล่าง
อันนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ไม่มีผิดถูก เพราะผมนำไปใช้จริงๆ มาเกือบ 20 ปี

อย่างแรกเลย ถ้าเราจบใหม่ๆ อย่าเพิ่งไปตั้งเป้าตามเพจตามเฟสหลายๆที่ว่า รวยร้อยล้าน พันล้าน ก่อนนะครับ
ห้้นึกถึงความเป็นจริงในโลกใบนี้ก่อน ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ได้มาง่ายๆ 
ถ้าเงินได้มาง่ายๆป่านนี้โลกใบนี้รวยกันทุกคนแล้วครับ

ถ้าพ่อแม่ไม่มีฐานะ หรือธุรกิจให้สานต่อ ก็หางานทำเถอะครับ ทำงานประจำ ไม่ต้องไปรีบเล่น Forex หรือ หุ้นหรอกครับ
แค่เก็บเงิน ง่ายๆแค่นั้นแหละครับ ถ้าเราไม่เก็บเงิน แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุน พ่อแม่ก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้
เราเอาแต่เที่ยว ซื้อของหรูเกินกำลัง แล้วเวลาโอกาสในการลงทุนมา เราก็จะอ้างว่า เราไม่มีเงิน ทั้งๆที่บางคนก็ไม่มีเงินแต่เค้าเก็บเงินไปลงทุนต่อ
อนาคตเงินที่เค้าลงทุนไปงอกเงย ถึงเวลานั้นหลายๆคนก็ไปอ้างว่าคนนั้น โชคดี ทั้งๆที่คนนั้นเค้าไม่ได้โชคดีแต่เค้าอดทนมากกว่า

บางคนเถียงว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ไม่รู้จะตายเมื่อไร ใช้ชีวิตให้มีความสุข เงินไม่ต้องไปเก็บมากหรอก
อันนี้ก็จริง 
แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าเราไม่ตายแล้วเงินหมด ตกงานละครับ
ตอนตายแล้วเงินเหลือ ยังมีลูกหลานมาคอยดูแล มีคนมาทำให้อุ่นใจไม่เดียวดาย
แต่ถ้ายังไม่ตายแล้วเงินหมด โคตรทรมานเลยนะครับ
ไม่มีซักคนมาเหลียวแล จะไปไหนก็ลำบาก เงินก็ไม่มีป่วยแล้วไม่รู้จะทำยังไง
จะไปขอยืมเงินใครหรือขอใครก็ไปให้เค้าดูถูกเจ็บใจ ทุกข์อีก


ถ้าพ่อแม่มีฐานะมีธุรกิจให้ ก็จะทำงานประจำก่อนค่อยมาสานต่อ หรือสานต่อเลยก็แล้วแต่เราจะเลือก เลือกยังไงสุดท้ายเราก็ต้องอดออม เก็บเงิน

อย่างที่สอง เก็บเงินได้ก็ลงทุนในหุ้น ทองคำ หรือที่ดิน ก่อนจะลงทุนต้องทำการศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละสิ่งที่เราจะลงทุนอย่างละเอียดก่อนนะครับ
ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มากหน่อย ก็ลงทุนในหุ้น จะลงทุนแบบ เก็งกำไรหรือ แนวปัจจัยพื้นฐาน ก็แล้วแต่ที่เราจะชอบเหมาะกับนิสัยของเรา
ถ้าเรารับความเสี่ยงได้น้อยหน่อยก็ทองคำและที่ดิน
หรือกระจายความเสี่ยงทั้งสามอย่างเลยครับ ดังเช่นสุภาษิตว่าไว้ อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตระกร้าเดียวกัน 
แต่ข้อนี้จะเน้นย้ำนะครับ ว่า อย่าก่อหนี้สินโดยไม่จำเป็น เป็นไปได้อย่าสร้างหนี้เลยครับ 
ไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ รอ อดทนจนกว่าเราจะพอมีเงินที่ไม่เดือดร้อนก็ค่อยซื้อของที่เราอยากได้
แต่ตอนนั้นนิสัยเราเปลี่ยน เราจะเสียดายและจะไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยอีกแล้ว 5555

อย่างที่สาม พัฒนาตัวเองตลอดเวลา อ่านหนังสือหาความรู้ทดลองทำทุกอย่างภายใต้ความเสี่ยงที่เราประเมินไว้แล้ว
อันไหนเสี่ยงมาก ถ้ามีเงินพอที่จะรับความเสี่ยงเลวร้ายที่สุดได้เพื่อผลตอบแทนที่ดีมาก ก็สามารถลองได้
แต่ถ้ายังมีเงินไม่มากพอ ก็ชะลอไปก่อน รอพร้อมทั้งความรู้ประสบการณ์และเงินก่อน
ตอนนี้ความเสี่ยงในการทำธุรกิจมากกว่าสมัยรุ่นพ่อแม่เรามากๆ เมื่อก่อนสมัยพ่อแม่เราทำธุรกิจ ยังไม่มีคนทำธุรกิจมากเท่าสมัยนี้
ทุนใหญ่ยังไม่รุกขนาดนี้ ยังเหลือพื้นที่ให้ตัวเล็กๆยังทำธุรกิจได้
ถ้าเราพลาดทีเดียวตอนนี้ โอกาสกลับตัวยากมากๆ จริงๆนะครับ


อย่าประมาทในโลก 4.0 ในอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอในโลกใบนี้
อยู่ที่ว่าจะเกิดเมื่อไร
และถ้าเกิดแล้วเรามีแผนรองรับเพื่อที่เราและครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอยู่รอดในโลกใบนี้ให้สุขสบายและมีความสุขตลอดไป


ปล. ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ มองลองในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วหาแผนรองรับในอนาคตกันดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...