วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

ความคาดหวังมีมูลค่าสูงเสมอ กรณีศึกษาหุ้น SMT

คาดหวัง คำนี้เหมือนเป็นคำที่มองได้สองมุม ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย
แง่ดีของความคาดหวัง คือกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
แต่มุมนึงความคาดหวัง อาจจะทำให้เราเสียอะไรบางอย่างไปก็ได้
ความคาดหวังเป็นที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่นคาดหวังการเรียน การสอบ ความรัก คาดหวังว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง
หันกลับมามอง ความคาดหวังในการลงทุนในหุ้น
ส่วนใหญ่(รวมทั้งผม) จะต้องเสียเงินไปในหุ้นเสมอเมื่อแลกกับความหวัง
เรามาลองศึกษาหุ้น SMT กับ การคาดหวังกันดูดีกว่า ว่ามันจริงไหมที่เมื่อเราคาดหวังแล้วจะต้องเสียอะไรไปบางอย่าง
ส่วนตัวผูกพันกับบริษัทนี้มาก ถึงขั้นรักบริษัทนี้ด้วยซ้ำ
บริษัท SMT หรือบริษัท สตาร์ไมโครอิเลกทรอนิก รับผลิต แผงวงจร หน้าจอ อุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ให้กับแบรนด์ดังๆ เช่นตอนก่อนปี 2011 ผลิตให้กับบริษัท black berry  Ipod อื่นๆ
SMT ก่อนปี 2011 มีกำไรดี เพราะตอนนั้นยอดการผลิต blackberry เยอะมาก และโทรศัพท์มือถือ touchscreen กำลังบูมอย่างสูง
ราคาหุ้นตอนนั้น อยู่ที่ 12 บาทสูงสุด (ก่อนแตกพาร์ ราคา 24 บาท) ช่วงนั้นมีแต่ข่าวดียอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ
ความคาดหวังของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการออกบทวิเคราะห์ว่าจะไปที่ี 15 บาท ทำ new high 
สังเกตราคาจาก 2 บาทกว่าในปี 2010 ภายในระยะเวลา 1 ปี ทำราคาไปถึง 12 บาท หรือคือเป็น 500%
โอ้วนี่คือหุ้น 5 เด้งในตำนาน
แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต เกิดน้ำท่วมใหญ่ตอนปี 2554 หรือ 2011 โดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ SMT เสียหาย ขาดทุนพันกว่าล้านเมือปี 2011
หลังจากนั้นรายได้และกำไรของ SMT ก็กำไรบ้างขาดทุนบ้าง
ล่าสุดวันนี้ หุ้น SMT เหลือแค่ 2.32 บาท
โดยถ้าเราซื้อตอน 12 บาท ปี 2011 แล้วถือรอมาจนวันนี้ปี 2018 เราาจะขาดทุน 83%
เปรียบเทียบว่าถ้าซื้อ 1 ล้าน ตอนนี้เราจะเหลือ แสนเจ็ด หายไปแปดแสนสาม.........นี่คือมูลค่าที่เราจะต้องจ่ายเป็นตัวเงินจากการคาดหวังถ้าเราขายหุ้นตอนนี้

หุ้นตัวนี้สอนอะไรกับผม
บางทีถ้าอ่านข่าวแต่เรื่องดีดี ทำให้เราเกิดความหวังว่าราคาหุ้นจะดี แต่ราคาหุ้นระยะยาวไม่ได้ขึ้นกับความคาดหวังของคนอย่างเดียว
มีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้น เช่น ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น กำไร กระเงินเงินสดของหุ้นเติบโต สินค้าที่บริษัททำขายได้ต่อเนื่องหรือไม่ 
เป็นสินค้าตามกระแสเปลี่ยนไวหรือไม่ เป็นต้น

เราไม่ควรคาดหวังราคาหุ้นในอนาคตมากเกินไป วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตแล้ว ก่อนลงทุนในหุ้นก็ควรจะคิดถึงความเสี่ยง
ถ้าราคาหุ้นเป็นไปอย่างที่เราวิเคราะห์ เราก็ดีไป ได้กำไร
แต่ถ้าราคาหุ้นตกลงไม่เป็นตามที่เราวิเคราะห์ละ เราจะทำยังไงต่อไปไม่ให้ขาดทุนหมดตัวละ จะถัวเฉลี่ยหรือตัดขาดทุนเมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนก็ว่ากันไป

ลองมองหุ้น Tesla ตอนนี้ มูลค่าของคนที่จ่ายไปเพราะความคาดหวังว่ารถไฟฟ้าจะมาแทนรถยนต์ได้ 
ทั้งๆที่ Tesla ยังไม่เคยมีกำไรเลย
และมีใครตอบได้ไหม ว่าเมื่อไร รถไฟฟ้าจะมาแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ในอัตราส่วน 50% แล้ว Tesla จะมีกำไรเมื่อไร
ไม่มีใครตอบได้เพราะคนเราไม่ใช่ผู้หยั่งรู้...........
หุ้นเลยตกและคนที่ซื้อหุ้นแล้วขายตอนนี้คือคนที่ต้องจ่ายค่าความคาดหวัง

ชอบบทความนี้กด Like ให้หน่อยนะครับผม




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...