วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

หุ้นใหญ่ vs หุ้นเล็ก เลือกลงทุนยังไงดี?.....เอาจริงๆมันแล้วสไตล์ของแต่ละคน

ถ้าใครลงทุนให้หุ้น ส่วนใหญ่จะเจอเพื่อนๆญาติพี่น้องที่สนใจหุ้น มักจะถามลงทุนตัวไหนดี

หุ้นตัวเล็ก หรือ หุ้นตัวใหญ่ดี หุ้นตัวใหญ่อันไหนน่าสนใจ แล้วตัวเล็กละ?ซื้อที่ราคากี่บาท

คำถามแรกก็ตอบ ยากละ หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ นิยามคืออะไร
ผมเลยไปค้นคว้า เอาหุ้นตัวเล็กหรือใหญ่เอาอะไรมาแบ่ง
มันมีหลายนิยามมาก แต่ผมนิยามตาม มูลค่าตลาด หรือ Market Capitalization หรือเรียกสั้นๆว่า Market Cap แล้วกัน

มูลค่าตลาด (Market Cap) = ราคาหุ้น x จำนวนหุ้นจดทะเบียน

โดย 

  • Big/Large cap (หุ้นใหญ่) - เป็นประเภทของหุ้นที่มีมูลค่าตลาด ระหว่าง 1 หมื่นล้านถึง 2 แสนล้านขึ้นไป บริษัทชั้นนำส่วนใหญ่จะตกอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น PTT SCC โดยทั่วไปหุ้นในกลุ่ม Large cap จะมีความมั่นคงสูง เช่นเดียวกัน Mega cap ทั้งสองกลุ่มจะถูกเรียกอีกชื่อว่า Blue chip สามารถดูใน SET50 หรือ SET100 ได้
  • Small cap (หุ้นเล็ก) - โดยทั่วไปจะเป็นบริษัทใหม่ และความมูลค่าตลาด ระหว่าง 300 ล้านถึง 2 พันล้าน แม้โดยทั่วไปบริษัทในกลุ่มนี้จะมีข้อมูลย้อนหลังที่สั้น หุ้นในกลุ่ม Small cap อาจจะให้ผลตอบแทนที่สูงมากจากการเติบโตที่ก้าวกระโดด แต่ความเสี่ยงก็จะสูงมากเช่นกัน SUPER เป็นตัวอย่างที่ดี ในปี 2010 มูลค่าตลาดของ SUPER อยู่ที่ 250 ล้าน ในปี 2016 มูลค่าตลาดเกือบ 4 หมื่นล้าน (ตัวอย่างตามภาพด้านล่าง)
ที่มาของข้อมูล http://www.setmonitor.com/@ittikorns/4E041E


พอเราได้นิยาม เราก็ลองมาดูข้อดีข้อเสีย ของหุ้นใหญ่และหุ้นเล็กกันบ้าง
ถ้าเราลงทุนหุ้นใหญ่ เช่น PTT SCC CPF เป็นต้น
ข้อดีคือ
1. บริษัทมั่นคง จะล้มละลายยากมาก 
2. ราคาต่อวันไม่ผันผวนมากเท่ากับหุ้นตัวเล็กๆ เพราะส่วนใหญ่ราคาจะสูง การทำให้ราคาผันผวนมากๆต้องใช้เงินมากกว่าตัวเล็กๆ 
3. ส่วนใหญ่หุ้นใหญ่ๆจะมีกำไรทุกปีและจ่ายเงินปันผล 

ข้อเสียของหุ้นตัวใหญ่ คือ 
1. หุ้นใหญ่บางตัวราคาหลักร้อยบาท ต้องใช้เงินสูงกว่าหุ้นเล็กๆ
2. ถ้าเราจะลงทุนโดยรอราคามันลงอาจจะใช้เวลานานหรือไม่ลงเลย เพราะ หุ้นใหญ่ราคาหุ้นสะท้อนถึงราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว โดยผู้จัดการกองทุนชื่อดังกล่าวไว้ว่า 

"ตลาดหุ้น จะให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับหุ้นขนาดใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะแก่การลงทุนมากกว่าหวังส่วนต่างราคา และคุณก็ไม่ควรหวังหุ้นเด้งจากหุ้นเหล่านี้"  Mark Niznik กล่าว
ที่มา https://stock2morrow.com/discuss/room/1/topic/7153

มาดูข้อดีของหุ้นเล็กบ้างดีกว่า
1. หุ้นเล็กบางที่อาจจะเป็น Super Growth stock ในระยะยาว เหมือน CPF ตอนหลังปี 2009 จากราคาไม่เกิน 5 บาท พุ่งทะลุ 30 บาท ภายในเวลาไม่กี่ปี เป็นหุ้น 5-10 เด้งได้ เพราะตอนนั้นอาจจะยังไม่มีคนสนใจมากเท่าไร



ข้อเสีย
1.ถ้าจะลงทุนหุ้นเล็กอาจจะเครียดมากกว่าเพราะมีความผันผวนมากกว่า ราคาต่อวันอาจจะขึ้นหรือลงเป็น 10%
2. หุ้นเล็กสามารถสร้างข่าว ปั่นราคาได้ง่ายกว่าหุ้นใหญ่ เช่นหุ้น โลก....... มารู้ตัวอีกที เจอเรื่องฟ้องร้องโกงสัญญากับธนาคารซะงั้น....


ถ้าจะให้เลือกลงทุนหุ้นใหญ่หรือเล็ก........คำถามนี้ผู้ที่จะลงทุนต้องตอบตัวเองก่อน ว่ารับความเสี่ยงมากน้อยได้ขนาดไหน
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย ก็ควรเลือกหุ้นตัวใหญ่ ที่มีปันผลดีๆ
ถ้ารับความเสี่ยงมากๆ อยากลงทุนได้ผลตอบแทนสูงๆไวไว ก็เลือกเล่นหุ้นตัวเล็กๆที่มีความผันผวนมากหน่อย............
แต่ที่เหมือนกัน คือควรซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่แท้จริง
แล้วราคาที่แท้จริง ดูอย่างไร..........ก็ต้องกลับไปมองที่งบการเงิน ดู งบกำไรขาดทุน กระแสเงินสด ว่าเป็นบวกไหม
ดูความน่าจะเป็นของกิจการ ว่าน่าจะเติบโตยังไง มีโอกาสขนาดไหน ในส่วนนี้ผู้ที่จะลงทุนต้องศึกษาอย่างละเอียด

สุดท้าย ควรจะดูกราฟเส้นเทคนิค เป็นตัวเสริมเพื่อไว้อ้างอิง เพราะงบการเงินอย่างเดียว เราอาจจะไม่รู้จะเข้าที่ราคาไหนออกที่ราคาไหนดี
ถ้างบการเงินดีมีโอกาสเติบโต เราอาจจะเข้าซื้อที่ราคา ต่ำกว่า EMA 100 หรือ 200
แล้วพอราคากลับไปยืนเหนือ EMA 50 หรือมากกว่านั้นเท่าที่เราประเมินมูลค่าหุ้นจากงบการเงินแล้ว เราก็ขาย
การใช้ EMA เป็นเทคนิคของผู้เขียนเอง ไม่มั่นใจว่ามันจะถูกต้องนะครับ เป็นแค่ข้อเสนอแนะครับ


การลงทุนของแต่ละคนไม่มีใครตอบคุณได้
ในการลงทุนมีความเสี่ยง และทุกอย่างแล้วแต่คุณครับ ว่าจะเลือกแบบไหน ชอบแบบไหนครับ
ที่สำคัญหลังจากที่เราเลือกลงทุนหุ้นใหญ่หรือเล็กไปแล้ว เราต้องพัฒนาตัวเอง หมั่นศึกษาเพิ่มเติม ลองผิดลองถูก จนกว่าจะเจอสไตล์กาารลงทุนที่เหมาะกับเราครับ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงการซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟระดับประเทศกับการลงทุนในหุ้น PTT

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซักอย่างนึง อยากเป็นเจ้านายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกน...